การแสวงหาลักษณะชีวิต

Teaching Legacy Letter
*First Published: 2005
*Last Updated: ธันวาคม 2025
10 min read
เมื่อเรานึกถึงเมืองใหญ่ๆ อย่างเช่น เมืองไมอามี เราอาจจะบอกว่ามีคริสตจักรที่หลากหลายในเมืองไมอามี่ แต่ผมไม่คิดว่าพระเจ้าจะทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นเพียงคริสตจักรเดียว เพราะท้ายที่สุดแล้วในหนังสือวิวรณ์ได้บอกกับเราว่า พระเยซูจะทรงสมรสกับคริสตจักรหรือเจ้าสาวของพระองค์ และผมก็ไม่ได้เชื่อว่าพระเยซูจะทรงเป็นผู้ที่มีคู่สมรสหลายคน พระองค์ทรงสมรสกับ คริสตจักรเดียวเท่านั้น ดังนั้นเราอาจจะนึกถึงคริสตจักรต่างๆ มากมาย แต่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นคริสตจักรเพียงคริสตจักรเดียว เมื่อเปาโลเขียนจดหมายฝากของท่าน ท่านไม่ได้เขียนถึงคริสตจักรแบ๊บติสในเมืองโครินธ์ หรือคริสตจักรโอเพนไบเบิ้ลในกรุงโรม หรือคริสตจักรอีแวนเจลิคัลในเมืองเอเฟซัส แต่ท่านเขียนถึงคริสตจักร (the Church) ในเมืองนั้นๆ เสมอ (ซึ่งหมายถึง คริสตจักรเดียวของพระคริสต์ - ผู้แปล) ทุกวันนี้เราเปลี่ยนแปลงไปไกลจากจุดนั้นมาก แต่ผมไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงเคยเปลี่ยนพระทัยของพระองค์
ดังนั้น ผมเชื่อว่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้นำของคริสต์ศาสนิกชนที่ประชุมกันในคริสตจักรภายในเมืองหรือภูมิภาคนั้นๆ จะต้องรู้วิธีสร้างสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องง่ายมากที่จะมีตนเองเป็นศูนย์กลาง กล่าวคือ คิดถึงเพียงแต่ “คริสตจักรของฉัน” เท่านั้น และมุ่งความสนใจไปที่สิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียว แต่นั่นไม่ใช่ทัศนคติตามแบบพระคัมภีร์ ผมเชื่อว่าเราควรมองเห็นกันและกันในฐานะผู้ปกครองร่วมภายใต้คริสตจักรเดียวกัน หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของลักษณะชีวิตคริสเตียนจะถูกเปิดเผยออกมาโดยการถามตัวเราเองว่า 'ไม้กางเขนมีบทบาทอย่างไรในชีวิตของเราแต่ละคน' ในกาลาเทีย 2:20 เปาโลได้วางมาตรฐานเอาไว้ว่า
“ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” (THSV11)
ผมได้ถามตัวเองว่าสิ่งนั้นเป็นจริงในชีวิตของผมหรือไม่ เพราะนั่นคือการปกป้องเพียงอย่างเดียว ในกาลาเทีย 5:24 เปาโลได้กล่าวต่อไปว่า
“ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้ตรึงเนื้อหนังไว้ที่กางเขนพร้อมกับราคะและตัณหาแล้ว” (THSV11)
และนั่นคือคำอธิบายที่กล่าวถึงผู้ที่เป็นของพระคริสต์อย่างแท้จริง คำอธิบายนั้นไม่ได้บอกว่าพวกเขาอยู่ในคริสตจักรโอเพนไบเบิ้ล หรือเป็นแบ๊บติส หรือเพรสไบทีเรียน หรือคาทอลิก เครื่องหมายเดียวของผู้ที่เป็นของพระคริสต์อย่างแท้จริงก็คือ พวกเขาได้ตรึงเนื้อหนังของตนไว้ที่กางเขนแล้ว
ในโรม 6:6 เปาโลกล่าวว่า “ตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้แล้ว” นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทำ แต่ในกาลาเทีย 5:24 เปาโลกล่าวว่านี่เป็นสิ่งที่คุณต้องทำคือ คุณต้องตอกตะปูตรึงธรรมชาติเนื้อหนังของคุณเอง และการถูกตรึงนั้นเจ็บปวดเสมอ ไม่มีการถูกตรึงใดที่ไม่เจ็บปวด
มาตรฐานของพระเจ้า
เมื่อเราได้ยอมรับความจริงแล้วว่า ลักษณะชีวิตเช่นนั้นจะเกิดขึ้นได้โดยผ่านทางไม้กางเขนเท่านั้น ให้เรามาดูภาพของลักษณะชีวิตที่พระเจ้าทรงคาดหวังกัน สิ่งนี้มีบันทึกในสดุดีบทที่ 15
“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์? ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์? คือผู้ดำเนินชีวิตอย่างหาที่ติมิได้และทำสิ่งที่ชอบธรรม และพูดความจริงจากใจของตน ผู้ไม่ใช้ลิ้นของตนในการนินทาว่าร้าย ไม่ทำชั่วต่อเพื่อน และไม่เยาะเย้ยเพื่อนบ้านของตน ในสายตาของเขา คนถ่อยเป็นผู้ที่น่าดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่เขายกย่องผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ ถึงสาบานแล้ว และต้องเสียประโยชน์ เขาก็ไม่กลับคำ เขามิได้ให้คนอื่นกู้เงินโดยคิดดอกเบี้ย และไม่ยอมรับสินบนต่อสู้ผู้ไร้ความผิด ผู้ทำสิ่งเหล่านี้จะไม่หวั่นไหวเป็นนิตย์” (THSV11)
ข้อแรกของพระคัมภีร์ในบทนี้เป็นคำถาม และเพลงสดุดีที่เหลือเป็นคำตอบ ดาวิดได้ระบุคุณลักษณะเจ็ดประการของผู้ที่จะอาศัยอยู่ในภูเขาบริสุทธิ์ของพระเจ้าเอาไว้ หากเราจะไปที่นั่น เราจำเป็นต้องมีคุณลักษณะเหล่านั้น ให้เรามาดูประเด็นเหล่านี้เกี่ยวกับบุคคลที่จะอาศัยอยู่ในภูเขาบริสุทธิ์ของพระเจ้า และขอให้จำไว้ว่าสิ่งเหล่านี้นั้นเกิดขึ้นได้โดยพระคุณ คือพระคุณเองที่ทำให้เกิดผลสำเร็จ
- ผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างหาที่ติมิได้ การกระทำของเขาถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า
- ผู้ที่ทำสิ่งที่ชอบธรรม เขาไม่เพียงแค่พูดสั่งสอนเท่านั้น แต่เขายังทำสิ่งที่พูดอีกด้วย เขา “พูดความจริงจากสิ่งที่อยู่ในใจ” สิ่งที่ออกจากปากคือสิ่งที่อยู่ในใจของเขา เขาไม่พูดด้วยปากอย่างและคิดในใจอีกอย่าง
- ผู้ที่ไม่ใช้ลิ้นของตนในการนินทาว่าร้าย เขาไม่พูดจาใส่ร้ายผู้อื่นลับหลัง ว่ากันว่าผู้รับใช้ที่เป็นคริสเตียนจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บนั้น มีบาดแผลที่ข้างหลัง
- ผู้ที่ไม่ทำชั่วต่อเพื่อนบ้าน เขาเป็นคนเมตตาปรานีและยุติธรรม
- ผู้ที่ไม่เยาะเย้ยเพื่อนบ้านของตน หากคุณไปหาเขาและเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับเพื่อนของเขา เขาจะไม่ฟังคุณ เขาจะไม่ยอมรับในเรื่องเหล่านั้น นี่เป็นหนึ่งในประเด็นที่สำคัญที่สุดของจริยธรรมคริสเตียน
- ในสายตาของเขา คนถ่อยเป็นผู้ที่น่าดูหมิ่นเหยียดหยาม (คนถ่อยคือ คนชั่วร้าย - ผู้แปล) เขาไม่ยอมก้มหัวให้กับคนชั่วร้าย บุคคลผู้นั้นอาจมีความสำคัญมากทางการเมือง หรือแม้แต่ในคริสตจักร แต่หากบุคคลนั้นชั่วร้าย เขาจะถูกชายคนนี้ดูหมิ่นเหยียดหยาม
- ผู้ที่ยกย่องผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ เขาแสดงความเคารพต่อลูกของพระเจ้าทุกคน เขาปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นด้วยความเคารพ แม้ว่าคนเหล่านั้นอาจจะดูเหมือนไม่สำคัญก็ตาม
- ผู้ที่ถึงสาบานแล้วและต้องเสียประโยชน์ เขาก็ไม่กลับคำ หากเขาให้คำมั่นสัญญา เขาจะยึดมั่นในสิ่งนั้น แม้ว่าสิ่งที่สัญญาไว้จะทำให้ตัวเองเสียเปรียบก็ตาม
- ผู้ที่มิได้ให้คนอื่นกู้เงินโดยคิดดอกเบี้ย เขาไม่คิดดอกเบี้ยจากคนที่ยืมเงินจากเขา
- ผู้ที่ไม่ยอมรับสินบนต่อสู้ผู้ไร้ความผิด คุณไม่สามารถใช้เงินซื้อเขา เพื่อให้เขาต่อสู้กับผู้บริสุทธิ์ได้
ในตอนท้ายของข้อพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า “ผู้ทำสิ่งเหล่านี้จะไม่หวั่นไหวเป็นนิตย์” คนประเภทนี้เป็นคนที่ไม่ได้หวั่นไหวง่ายๆ หากผู้ปกครองทุกคนในคริสตจักรเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่มีปัญหาในคริสตจักร ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องหมายของจริยธรรมคริสเตียน หากเราต่างฝึกฝนตามสิบประการข้างต้นนี้ เราก็จะสามารถขจัดวิกฤตด้านจริยธรรมในคริสตจักรออกไปได้
ให้เรามาดูในโคโลสี 3:3–5 และเจาะลึกยิ่งขึ้นไปอีก
“เพราะว่าท่านตายแล้ว และชีวิตของพวกท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านทั้งหลายทรงปรากฏ ในเวลานั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในศักดิ์ศรีด้วย เพราะฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่าน คือการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ (ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ)” (THSV11)
พระคริสต์ทรงเป็นชีวิตของเรา ซึ่งเป็นชีวิตที่ไม่สามารถทำลายได้ ไม่สามารถทำให้สูญสิ้นไปได้ ไม่สามารถเอาชนะได้ และจะคงอยู่ต่อไปเป็นนิตย์ เปาโลกล่าวเสริมอีกว่า “บัดนี้จงประหารโลกียวิสัยในตัวท่าน” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คุณต้องทำให้สิ่งเหล่านั้นตายไป นี่ไม่ใช่ประสบการณ์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เป็นชีวิตที่ต้องมีวินัยอย่างต่อเนื่อง
“เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีความชูใจในความสัมพันธ์กับพระคริสต์ มีการปลอบโยนจากความรัก มีการสามัคคีธรรมกันจากพระวิญญาณ และมีความเห็นใจกันและความเมตตากรุณา ก็ขอให้ท่านทั้งหลายทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยม ด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีจิตใจและความคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดีหรือถือดี แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย” (THSV11)
ในฟีลิปปี 2:1–4 เปาโลบรรยายถึงทัศนคติของเราว่า หากเราต้องการรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระกายของพระคริสต์ไว้ เปาโลได้ใช้คำที่แตกต่างกันหลายคำ แต่มีคำเดียวที่ครอบคลุมทั้งหมด นั่นคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และนั่นคือ กุญแจสู่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สุภาษิต 13:10 กล่าวว่า “เพราะความทะนงตัวเท่านั้น การวิวาทจึงเกิดขึ้น” (KJV) ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลว่า สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความทะนงตัว ก็คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และนี่คือวิธีที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้
พระคัมภีร์ไม่เคยบอกว่าพระเจ้าจะทรงทำให้เราอ่อนน้อมถ่อมตน พระคัมภีร์บอกเราเสมอว่าให้เราถ่อมตัวเราเองลง สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำเพื่อเรา แต่เป็นสิ่งที่เราต้องทำเพื่อตัวของเราเอง
เปาโลยังกล่าวอีกด้วยว่า อย่าปล่อยให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นด้วยความทะเยอทะยานที่เห็นแก่ตัว ตามความคิดเห็นของผมนั้น ความทะเยอทะยานที่เห็นแก่ตัวคือ ปัญหาเดียวที่ยี่งใหญ่ที่สุดในคริสตจักร
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นบรรณาธิการนิตยสารเกี่ยวกับศาสนาแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เมื่อหลายปีก่อนผมได้พูดกับเขาว่า “หลายบทความในนิตยสารของคุณเป็นบทความที่็ดีนะ แต่หลังจากที่ผมได้อ่านโฆษณาแล้ว ผมรู้สึกอยากไปอาบน้ำ เพื่อชำระล้างความรู้สึกที่ไม่ดีออกไป เพราะทุกอย่างที่โฆษณาล้วนเป็นการส่งเสริมหรือโปรโมทตนเองทั้งสิ้น”
นี่เป็นเรื่องส่วนบุคคล
ศาสนาคริสต์เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ที่ถูกต้องเป็นหลัก ไม่ใช่หลักคำสอนที่ถูกต้อง ข่าวประเสริฐไม่ใช่ชุดของกฎเกณฑ์ต่างๆ ไม่ใช่คำกล่าวเกี่ยวกับพระเจ้า ไม่ได้เกิดจากการรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า จุดประสงค์ของข่าวประเสริฐคือ ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า การเทศนาข่าวประเสริฐใดๆ ที่ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าก็คือความหายนะนั่นเอง
ในมัทธิว 18:15–17 พระเยซูทรงตรัสเกี่ยวกับวิธีการรักษาความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับผู้อื่นไว้ว่า
“หากพี่น้องของท่านคนหนึ่งทำผิดต่อท่าน จงไปหาและชี้ความผิดต่อเขาสองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังท่าน ท่านจะได้พี่น้องคืนมา แต่ถ้าเขาไม่ฟังท่าน จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย เพื่อให้คำพูดทุกคำได้รับการยืนยันด้วยปากของสองสามคนเพื่อทุกคำจะเป็นหลักฐานได้ ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น จงไปแจ้งต่อคริสตจักร ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีก ก็ให้ถือว่าเขาเป็นเหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี” (THSV11)
ดังนั้นจึงมีอยู่สามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องคือ คุณไปหาพี่น้องคนนั้นตัวต่อตัว หากคุณสามารถจัดการได้ด้วยลำพังตัวคุณเอง คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรต่ออีก แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็ให้หาพยานที่เชื่อถือได้สักสองสามคนเพื่อบันทึกเรื่องที่ได้พูดคุยกัน หากยังไม่สามารถตกลงกันได้ ก็ให้นำเรื่องนั้นแจ้งต่อหน้าคริสตจักร และไม่ว่าคริสตจักรจะตัดสินอย่างไรก็จะต้องทำตามนั้น หากเขายังไม่ฟังคริสตจักร ก็อย่าปฏิบัติต่อเขาในฐานะผู้เชื่ออีกต่อไป เพราะเขาได้สูญเสียสิทธิ์ที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้เชื่อไปแล้ว
สิ่งนั้น (หมายถึง การตัดสินของคริสตจักร - ผู้แปล) ทำให้คริสตจักรมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ผมมักจะสงสัยว่ามีคริสตจักรแห่งใดบ้างที่อยู่ในสถานะที่จะทำเช่นนั้นได้ ทั้งนี้พระเยซูได้ทรงตรัสต่อไปในข้อ 19 และ 20 ว่า
“เราบอกพวกท่านอีกว่า ถ้าพวกท่านสองคนจะร่วมใจกันทูลขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลก พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ก็จะทรงทำสิ่งนั้นให้ เพราะว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขาที่นั่น” (THSV11)
ในภาษากรีกคำว่า “เห็นพ้องกัน” เป็นคำศัพท์ทางด้านดนตรี และเป็นที่มาของคำว่า “ซิมโฟนี" (หมายถึงดนตรีประสานเสียงวงใหญ่ - ผู้แปล) คำดังกล่าวบรรยายถึงความประสานกลมกลืนกัน และพระเยซูทรงตรัสว่า “ถ้าพวกท่านสองคนจะร่วมใจกันทูลขอสิ่งหนึ่งสิ่งใดในโลก พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ก็จะทรงทำสิ่งนั้นให้” ผมไม่ใช่นักดนตรี แต่ผมรู้ว่าการที่ได้ยินดนตรีที่เกือบจะประสานเข้ากันได้นั้น มันเป็นอะไรที่ทรมานเอามากๆ ผมเคยเห็นความสัมพันธ์แบบคริสเตียนมากมายที่เกือบจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และผมคิดว่าพระเจ้าก็คงจะทรงปิดพระกรรณของพระองค์ในสวรรค์ด้วยเหมือนกัน
คุณอาจสังเกตเห็นว่าผมข้ามข้อ 18 ไป ให้เรามาพิจารณากัน
“เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า สิ่งใดๆ ที่พวกท่านจะกล่าวห้ามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งใดๆ ที่พวกท่านจะกล่าวอนุญาตในโลก สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์”
นั่นเป็นสิทธิอำนาจที่ยิ่งใหญ่มาก! ในแง่หนึ่งนั้น สิทธิอำนาจแห่งสวรรค์ถูกมอบไว้ให้กับเราแล้วในฐานะผู้เชื่อ แต่ให้เราสังเกตว่า เราต่างหากที่ต้องลงมือกระทำเอง ผมมักจะได้ยินคริสเตียนอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงผูกมัดหรือทรงปลดปล่อยบางสิ่งออกไป แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระคัมภีร์ได้กล่าวเอาไว้ พระเจ้าทรงตรัสว่า “เจ้าจงผูกมัดมันในนามของเรา” มันขึ้นอยู่กับเราที่จะมีความเชื่อและความกล้าที่จะทำสิ่งนั้นหรือไม่ ฉะนั้นเมื่อเราผูกมัดสิ่งใดบนโลก สิ่งนั้นก็ถูกผูกมัดบนสวรรค์แล้ว
หลายปีที่ผ่านมา ผมเห็นผู้รับใช้ที่เป็นคริสเตียนหลายท่านที่รู้สึกไม่มั่นคง เพราะความมั่นคงของพวกเขาขึ้นอยู่กับความสำเร็จ แต่ผมมีมุมมองชีวิตที่แตกต่างจากสิ่งนั้นโดยสิ้นเชิง สำหรับผมนั้น ความสำเร็จคือการทำให้พระบิดาพอพระทัย และความมั่นคงก็คือการที่ได้รู้ว่าผมได้รับความรักจากพระบิดา ผมเชื่อว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่พระกิตติคุณมุ่งหมายจะทำให้เกิดขึ้น หากศิษยาภิบาลทุกคนในเมืองมีจุดประสงค์หลักเพื่อทำให้พระบิดาพอพระทัย ก็จะไม่มีการชิงดีชิงเด่น และไม่มีการแข่งขันซึ่งกันและกันเลย
ผมเชื่อว่านั่นคือวิธีที่พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิต และผมก็เชื่อว่านี่คือคำตอบสำหรับคำถามว่าด้วยเรื่องจริยธรรมคริสเตียน หากเรามีสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระบิดาแล้ว ความสัมพันธ์อื่นๆ ทั้งหมดก็จะลงตัวตามไปด้วย

*Free download
*This Teaching Letter is available to download, print and share for personal or church use.
ดาวน์โหลด PDFรหัส: TL-L049-100-THA