เข้าใจความยำเกรงพระเจ้า

Teaching Legacy Letter
*First Published: 2004
*Last Updated: ธันวาคม 2025
9 min read
ประโยชน์ที่ได้รบั เป็ นปัจจยัในการตัดสินใจของเรา ในหลายๆ ครั้ง – โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการ ตดั สินใจเรื่องใหญ่ๆ เวลาคุณพิจารณาข้อเสนองาน คุณจะเปรียบเทียบผลประโยชน์ตอบแทนที่คุณจะ ได้รับจากนายจ้างที่มีความเป็ นไปได้สักสองรายหรือมากกว่านัน้ หรือเวลาคุณเลือกซื้อบ้าน คุณจะ มองหาบ้านในท าเลที่เอื้อประโยชน์ในสิ่งที่คุณให้คุณค่า – มีเพื่อนบ้านที่เป็ นมิตรเสมือนหนึ่งเป็ นคน ในครอบครัว หรืออยู่ใกล้ที่ท างานหรือโรงเรียน เป็ นต้น และแน่นอนว่ามีคุณประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก อเนกอนันต์อาทิแหล่งอาหารเพื่อสขุ ภาพ และการออกก าลังกายที่เหมาะสมที่ปรับใช้ได้กับทุกคน
อย่างไรก็ตาม ผมได้พบว่าเราจะได้รับประโยชน์ที่มีคุณค่าสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใดเมื่อเราน าความจริงของพระ วจนะมาประยุกต์ใช้ในภาคปฏิบัติในชีวิตของเรา โดยประยุกต์ใช้ในแง่ของความย าเกรงพระเจ้าให้มากๆ แม้ใน เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนจะไม่สลักส าคัญนักก็ตาม หนึ่งในค าที่อธิบายถึงความย าเกรงพระเจ้าได้ดีที่สุดคือ ค าว่า การเคารพนับถืออย่างลึกซึ้ง การเคารพนับถืออย่างลึกซึ้งนี้เป็นการตอบสนองต่อการเปิดเผยส าแดงของ พระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์กับเรา ผมเชื่อว่าท่าทีที่เหมาะสมท่าทีเดียวที่เราควรตอบสนองต่อ พระองค์คือ เคารพนับถือพระองค์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งต้องไปควบคู่กับท่าทีนบนอบอ่อนน้อม ทัศนคติของความนบ นอบอ่อนน้อมต่อพระเจ้าเป็นการแสดงออกถึงความย าเกรงพระเจ้าในชีวิตของเรา
ผมอยากจะแบ่งปันถึงประโยชน์บางประการของความย าแกรงพระเจ้าให้คุณเข้าใจ ซึ่งเป็นหนึ่งในแง่มุมที่ น่าตื่นเต้นที่สุดของการรับใช้พระเจ้า ผมไม่สามารถอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้โดยไม่รู้สึกตื่นเต้นได้เลย ผมหวังว่า คุณจะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อคุณได้เรียนรู้ว่าความย าเกรงพระเจ้าจะส่งผลต่อชีวิตของคุณอย่างไรเช่นกัน ก่อนอื่น ให้ เรามาดูสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับมนุษย์ในพระธรรมโยบ 28:28 ด้วยกัน
“และพระองค์ตรัสกับมนุษย์ว่า
สติปัญญาแท้และความย าเกรงพระเจ้าแยกออกจากกันไม่ได้หลายคนคิดว่าสติปัญญาเป็นเรื่องของความรู้ ความสามารถทางปัญญา เช่น ความฉลาด แต่สติปัญญาแท้ไม่ใช่เรื่องของความฉลาด – เพราะความฉลาดกับ ความชั่วร้ายสามารถอยู่ร่วมกันได้ แต่ความย าเกรงพระเจ้ากับความชั่วร้ายอยู่ร่วมกันไม่ได้เลย
สดุดี 25:12 น าเสนอประโยชน์อันวิเศษสุดของความย าเกรงพระเจ้าอีกประการหนึ่ง:
“ผู้ใดเล่าที่เป็นคนย าเกรงพระเยโฮวาห์
พระค าข้อนี้บ่งชี้ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงสอนทุกคน – และพระเจ้าไม่ได้เลือกลูกศิษย์ของพระองค์โดยใช้ผลการ สอบเป็นเกณฑ์แต่พระองค์ทรงเลือกลูกศิษย์บนพื้นฐานของลักษณะชีวิต และพระองค์ไม่ได้ให้สัญญาผูกมัด พระองค์เองว่าจะต้องสอนผู้ที่ไม่มีความย าเกรงพระเจ้าด้วย คุณอาจจะเข้าเรียนในโรงเรียนพระคัมภีร์หรือเข้า อบรมที่ศูนย์ฝึกอบรมชั้นเลิศได้แต่ถ้าคุณปราศจากความย าเกรงพระเจ้า คุณก็ไม่ใช่ศิษย์ของพระองค์คุณ สามารถเป็นศิษย์ของครูที่เป็นมนุษย์ แต่ไม่ใช่ของพระเจ้า
ข้อพระคัมภีร์สองข้อถัดมา – ในสดุดี25:14 – เราพบข้อคิดที่ดีเยี่ยมเพิ่มอีกข้อหนึ่ง:
“ความลึกลับของพระเยโฮวาห์มีอยู่แก่คนที่ย าเกรงพระองค์
น่าอัศจรรย์ใจใช่ไหมครับ? ถ้าคุณย าเกรงพระเจ้า พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับของพระองค์แก่คุณ คุณ จะบอกความลับของคุณกับคนที่สนิทกับคุณเท่านั้น – คนที่คุณไว้วางใจ
สุภาษิต 10:27 บอกเราว่า ถ้าเรามีชีวิตที่ย าเกรงพระเจ้า ชีวิตของเราจะยืนยาวกว่าชีวิตที่ไม่ย าเกรงพระเจ้า
“ความย าเกรงพระเยโฮวาห์นั้นยืดชีวิตให้ยาวไป
พระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ได้ระบุอย่างชัดถ้อยชัดค าว่าคุณจะอายุยืนแค่ไหน พระคัมภีร์กล่าวเพียงว่าชีวิตที่ย าเกรง พระเจ้าจะยืนยาวกว่าชีวิตที่ไม่ย าเกรงพระเจ้า ใครล่ะจะไม่อยากอายุยืน? คุณไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดย ปราศจากความยาเกรงพระเจ้า
สุภาษิต 14:26 เป็นหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่น่าทึ่งที่สุด แม้จะเป็นข้อพระค าสั้นๆ แต่ก็มีความหมายลึกซึ้ง
“ความเชื่อมั ่นอันแข็งแกร่งมีอยู่ในความยาเกรงพระเจ้า”
ความย าเกรงพระเจ้าไม่ได้ท าให้คุณขี้ขลาด มันไม่ได้ท าให้คุณอ่อนแอ หากแต่จะช่วยให้คุณแข็งแกร่ง เมื่อ คุณย าเกรงพระเจ้า คุณก็ไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งอื่นใด ความย าเกรงพระเจ้าเป็นยารักษาความกลัวที่ไม่ได้มาจาก พระเจ้าในทุกรูปแบบ
สุภาษิต 19:23 เป็นพระสัญญาเกี่ยวกับความย าเกรงพระเจ้าที่ผมชื่นชอบมาก
“ความย าเกรงพระยาห์เวห์น าไปสู่ชีวิต
ใครเล่าจะปฏิเสธข้อเสนอแบบนี้ได้ลงคอ? ตามความคิดของผมนั้น นั่นคือพระสัญญาที่ผมต้องการรับไว้เป็น ของผมเอง ผมแทบจะไม่เชื่อเลยว่าพระเจ้าจะทรงน าเสนอพระสัญญาแบบนี้พระสัญญาลักษณะเดียวกันนี้ถูก กล่าวซ ้าอีกครั้งในสุภาษิต 14:27 (“ความย าเกรงพระเยโฮวาห์เป็นน ้าพุแห่งชีวิต เพื่อผู้หนึ่งผู้ใดจะหลีกจากบ่วง ของความมรณาได้”) และสุภาษิต 22: 4 (“บ าเหน็จของความถ่อมใจและความย าเกรงพระเยโฮวาห์คือความมั่ง คั่ง เกียรติและชีวิต”)
มองภาพ
พระธรรมสดุดี 2:11 แสดงให้เห็นภาพของความย าเกรงพระเจ้าที่ดูเหมือนค่อนข้างยากที่จะเข้าใจเมื่ออ่าน เพียงผิวเผิน
“จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์ด้วยความย าเกรง
ถ้าคิดแบบเนื้อหนังแล้วก็ดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่ “เปรมปรดีจนิ์ เนื้อเต้น” น่ะรึ? นี่คือสิ่งที่ผม เรียกว่าการผสมผสานฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าทรงน าองค์ประกอบสองอย่างที่ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ได้มารวมกัน และทรงขอให้เราวางใจในพระปัญญาของพระองค์ที่จะผสมผสานองค์ประกอบทั้งสองให้เข้ากันได้
ในพระธรรมกิจการ 9:31 เราเห็นการผสมผสานฝ่ ายวิญญาณที่คล้ายคลึงกันจากค ากล่าวของลูกาซึ่ง บรรยายถึงคริสตจักรยุคแรก
“เพราะฉะนั้น คริสตจักรตลอดทั ่วแคว้นยูเดีย กาลิลีและสะมาเรียก็เกิดความสงบสุขและเจริญเติบโต ต่าง ประพฤติตนด้วยความย าเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าและรับการหนุนใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์คริสตสมาชิกจึง ยิ่งเพิ่มจ านวนมากขึ้น” (พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับมาตรฐาน 2011)
“ความย าเกรงพระเจ้า” และ “การหนุนใจจากพระวญิ ญาณบรสิุทธ”ิ์? สองสิ่งนี้จะไปด้วยกันอย่างไรได้? สิ่งที่ ผมรู้ก็คือ ในมุมมองของพระเจ้า ทั้งสองสิ่งไปด้วยกันได้จริงๆ – และไม่ควรถูกแยกออกจากกัน แล้วผลที่ตามมา ก็คือ ผู้เชื่อในคริสตจักรยุคแรกได้รับการเสริมสร้างและทวีจ านวนมากขึ้น บางทีสองสิ่งนี้อาจเป็นกุญแจที่ น าไปสู่การเติบโตของคริสตจักรก็เป็นได้: ความย าเกรงพระเจ้าและการหนุนใจจากพระวญิ ญาณบรสิุทธิ์
จริงๆ แล้ว ผมเคยเจอคนที่ไม่เชื่อว่า เรายังคงต้องย าเกรงพระเจ้าหรือต้องการความย าเกรงพระเจ้าแม้เรา ได้รับความรอดแล้วก็ตาม ผมเชื่อว่า นั่นล่ะคือเวลาที่คุณต้องย าเกรงพระเจ้าหรือต้องการความย าเกรงพระเจ้า มากที่สุด พระธรรม 1 เปโตร 1:15-19 เป็นสารที่เปโตรเขียนถึงผู้ที่ได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระเยซูแล้ว
...แต่พระองค์ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายนั้นบริสุทธิ์ฉันใด ท่านทั้งหลายจงเป็นคนบริสุทธิ์ในบรรดาการ ประพฤติทุกอย่างด้วยฉันนั้น ดังที่มีค าเขียนไว้แล้วว่า `ท่านทั้งหลายจงเป็นคนบริสุทธิ์เพราะเราเป็นผู้ บริสุทธิ์' และถ้าท่านอธิษฐานขอต่อพระบิดา ผู้ทรงพิพากษาทุกคนตามการกระท าของเขาโดยไม่เห็นแก่ หน้าคนใดเลย จงประพฤติตนด้วยความย าเกรงตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในโลกนี้ท่านรู้ว่า พระองค์ได้ทรงไถ่ ท่านทั้งหลายออกจากการประพฤติอันหาสาระมิได้ซึ่งท่านได้รับเป็นประเพณีต่อจากบรรพบุรุษของท่าน มิได้ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้เช่น เงินและทอง แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตอันมีราคามากของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากต าหนิหรือจุดด่างพร้อย
เปโตรเตอืนให้เราเป็นคนบรสิุทธใิ์นบรรดาการประพฤตทุกอย่าง ิ ไม่ใช่บางอย่าง ไม่ใช่เกือบทุกอย่าง แต่ ทุกๆ อย่าง ความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงไถ่บาปเราด้วยพระโลหิตของพระเยซู – สิ่งที่มีค่าที่สุดในจักรวาล – เป็น เหตุผลที่ท าให้เราเข้าใจว่าท าไมเราจึงควรด าเนินชีวิตด้วยความย าเกรง เราต้องระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่ ทรยศพระผู้ไถ่ของเราด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง ไม่ลดคุณค่าของการทรงไถ่ที่เราได้รับด้วยบางสิ่งที่มีคุณค่าและ ความส าคัญด้อยกว่า
ทำอย่างไร
ผมไม่ต้องการแนะน าคุณเรื่องความส าคัญของความย าเกรงพระเจ้า แล้วไม่ได้บอกต่อไปว่าคุณจะรับเอา ความย าเกรงพระเจ้าได้อย่างไร – เพราะเรื่องนี้มีค าตอบ ในสุภาษิต 2:1-5 เราจะเห็นประโยค ถ้า – แล้ว ซึ่ง แสดงให้เราเห็นวิธีที่จะรับความย าเกรงพระเจ้าทีละขั้นตอน
“บุตรชายของเราเอ๋ย ถ้าเจ้ารับค าของเรา
ให้เรามาดูเงื่อนไข – “ถ้า...ถ้า...ถ้า... ” ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการรับเอาความย าเกรงพระเจ้า
ถ้าเจ้ารับคาของเรา และสะสมคาบัญชาของเราไว้กับเจ้า คือให้เรารับพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจ เคารพ ด้วยทัศนคติที่ยอมจ านนและเชื่อฟัง ยอมให้พระวจนะเป็นองค์ประกอบที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเรา สะสมพระวจนะ ซึ่งค าศัพท์ในภาษาฮีบรูหมายถึงการเก็บรักษาบางสิ่งบางอย่างไว้ในที่ลับเฉพาะ เพราะมันมีค่าที่สุดสาหรับคุณ
ถ้าเจ้ากระท าหูของเจ้าให้ผึ่งเพื่อรับปัญญา และเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ เมื่อมีคนก าลังพูด กับคุณแล้วคุณอยากจะฟังเขาอย่างตั้งใจ คุณจะเอนตัวไปทางผู้พูด – หรือแม้กระทั่งโน้มศีรษะของคุณลง นั่นคือ การเอียงหูของคุณ ซึ่งเป็นการแสดงออกของท่าทีที่ยอมจ านน คุณก็จะกลายเป็นคนที่มีใจเปิดรับค าสอน
ใช่แล้ว ถ้าเจ้าร้องหาความรอบรู้และเปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ การกระท าเช่นนี้บ่งบอกถึง หัวใจที่ทุ่มเทให้กับการอธิษฐาน – ค าอธิษฐานที่ร้อนรนแรงกล้า เป็นการอธิษฐานที่ไม่ใช่การจัดฉากให้คนอื่น เห็นเวลาคุณอธิษฐาน อันที่จริง การอธิษฐานที่ร้อนรนในที่ที่มีเพียงคุณกับพระเจ้าเท่านั้นมักจะเกิดผลมากกว่า การอธิษฐานต่อหน้าคนอื่น
ถ้าเจ้าแสวงหาปัญญาดุจหาเงิน และเสาะหาปัญญาอย่างหาขมุ ทรพั ยท์ ีซ่ ่อนไว้พระเจ้าไม่ได้วางทุกสิ่งไว้ในที่เปิดเผย พระเจ้าไม่ได้น าอัญมณีของพระองค์ออกมาวางบนทางเท้าเพื่อให้ใครก็ได้หยิบขึ้นมา แต่ พระองค์ทรงวางไว้ในที่ที่คุณต้องไขว่คว้ามาให้ได้ในท านองเดียวกัน นี่คือวิธีที่เราต้องการเพื่อที่จะเข้าถึง ปัญญา เราต้องค้นหาปัญญาในที่ที่เราจะพบมัน
เอาล่ะ – หลังจากที่เราได้เรียนรู้เงื่อนไข “ถ้า... ถ้า... ถ้า...” ทั้งสามเงื่อนไขแล้ว – เราจะมาเรียนรู้ค าว่า “แล้ว” – พระสัญญาที่ตามมาว่าอย่างไร
นั่นแหละ เจ้าจะเข้าใจความย าเกรงพระเยโฮวาห์และพบความรู้ของพระเจ้า ผมไม่เชื่อว่าความรู้ของ พระเจ้ากับความย าเกรงพระเจ้าจะแยกออกจากกันได้ อิสยาห์ 11:2-3 กล่าวถึงพระเยซูว่า:
“พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทับอยู่เหนือผู้นั้น คือองค์พระวิญญาณแห่งสติปัญญาและความเข้าใจ พระวิญญาณแห่งค าปรึกษาและอานุภาพ พระวิญญาณแห่งความรู้และความย าเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และเขาผู้นั้นจะปีติยินดีในความย าเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า” (พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)
คุณไม่สามารถแยกความรู้ของพระเจ้าออกจากความย าเกรงพระเจ้าได้ระดับความรู้ของพระเจ้าที่คุณมีจะ ไม่มีทางสูงไปกว่าระดับความย าเกรงพระเจ้าที่คุณมีในชีวิตของคุณ – มันเป็นความย าเกรงหรือความเกรงกลัว ท่มีเีพยีงพระวญิ ญาณบรสิุทธเิ์ท่านัน้ ท่จะี สามารถสอนคุณได้ สดุดี 34:11 กล่าวว่า “บุตรทั้งหลายเอ๋ย มาเถิด มาฟังเรา เราจะสอนเจ้าถึงความเกรงกลัวพระเยโฮวาห์”
ลองไตร่ตรองเนื้อหาในค าสอนทั้งหมดที่คุณอ่านมานี้ดูสิครับ คุณจะทูลขอให้พระเจ้าส่งมอบความย าเกรง พระเจ้าให้คุณหรือไม่? พระองค์จะไม่ท าอะไรที่ขัดกับตามความต้องการของคุณ และพระองค์จะไม่ข่มขู่คุณให้ ย าเกรงพระองค์แต่พระองค์จะทรงน าเสนอ แต่คุณต้องเลือกที่จะรับไว้คุณอาจจะเป็นคริสเตียนที่จริงใจ แต่ ขณะที่คุณก าลังอ่านบทเรียนนี้แล้วคุณตระหนักว่าคุณมีความย าเกรงพระเจ้าในชีวิตของคุณน้อยมาก
และถ้าคุณก าลังรู้สึกแบบนั้น – ผมอยากให้คุณระวังให้มาก เพราะมันง่ายที่จะตอบสนองตามอารมณ์พาไป แล้วหลังจากนั้นคุณก็จะลืมไปเลยว่าคุณท าอะไรไปบ้าง – ผมอยากจะให้คุณพูดกับพระเจ้าตามนี้:
*Prayer Response
“โอ ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เข้ามาหาพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด ของข้าพระองค์พระองค์ได้ทรงวางความปรารถนาที่จะย าเกรงพระเจ้าในหัวใจของข้าพระองค์ข้าพระองค์ทูล ขอต่อพระองค์นับจากนี้เป็นต้นไป ขอทรงน า ขอทรงสอน และขอทรงมอบความย าเกรงพระเจ้าอันเป็นขุมทรัพย์ อันมหัศจรรย์ล ้าค่าของพระองค์ให้แก่ข้าพระองค์– ในพระนามของพระเยซูเจ้า อาเมน”
รหัส: TL-L046-100-THA