ในช่วงระยะเวลาหลายปีของการรับใช้ ผมมักจะสอนเกี่ยวกับพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ และจากประสบการณ์ของผมนั้น ยิ่งเรามีค⁠ว⁠า⁠มเข้าใจเกี่ยวกับพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ดีเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เรามีประสิทธิภาพสำหรับอาณาจักรของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠ามากขึ้นเท่านั้น และพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์เองก็ทรงเป็นผู้สานต่อพ⁠ั⁠น⁠ธ⁠ก⁠ิ⁠จของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ูในชีวิตของเรา

พ⁠ั⁠น⁠ธ⁠ก⁠ิ⁠จหลักประการหนึ่งของพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ก็คือ การทรงเป็นผู้นำทางของเรา พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าพ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ิ⁠ด⁠าทรงส่งพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์มาเพื่อทรงนำเราไปตลอดชีวิต ในยอห์น 16:13 พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ูทรงตรัสว่า

“เพราะว่าพระวิญญาณของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าทรงนำใคร คนนั้นก็เป็นบุตรของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠า” (THSV11)

ในโรม 8:14 เปาโลอธิบายว่าในทางปฏิบัตินั้น เราสามารถดำเนินชีวิตในฐานะบุตรของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าได้อย่างไร นั่นก็คือการให้พ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ทรงนำทางเรา

“เพราะว่าพระวิญญาณของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าทรงนำใคร คนนั้นก็เป็นบุตรของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠า”

รูปคำกิริยาที่บ่งบอกถึงเวลาในที่นี้ (หมายถึงข้อพ⁠ร⁠ะ⁠ค⁠ั⁠ม⁠ภ⁠ี⁠ร⁠์ที่อ้างถึงนี้ - ผู้แปล) คือ เวลาปัจจุบันที่ยังคงดำเนินต่อไปยังไม่สิ้นสุดสำหรับผู้คนมากมายที่ได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าเป็นประจำนั้น เขาเหล่านี้ก็เป็นบุตรของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠า คำว่าบุตรนั้นบ่งบอกถึงค⁠ว⁠า⁠มเป็นผู้ใหญ่ คำนี้ไม่ได้มีไว้ใช้กับเด็กทารกแต่เป็นคำที่ใช้กับบุตรที่โตแล้ว การที่จะเป็นบุตรของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าได้นั้น เราต้องบังเกิดใหม่อีกครั้งโดยพระวิญญาณของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠า พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ูทรงชี้แจงเรื่องนี้อย่างชัดเจนในยอห์นบทที่ 3 แต่เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว การที่จะเติบโตขึ้นและกลายเป็นผู้ใหญ่และสมบูรณ์แบบได้นั้น เราจำเป็นต้องได้รับการทรงนำจากพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์เป็นประจำ

ค⁠ว⁠า⁠มจริงอันน่าเศร้าก็คือ มีคริสเตียนจำนวนมากที่ได้บังเกิดใหม่ แต่ไม่เคยได้รับการทรงนำจากพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์อย่างแท้จริงเลย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สามารถเติบโตถึงค⁠ว⁠า⁠มเป็นผู้ใหญ่ได้ พวกเขาไม่เคยกลายเป็นคริสเตียนที่สมบูรณ์แบบอย่างที่พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าทรงประสงค์ให้เขาเป็น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการก⁠ล⁠่⁠า⁠วถึงเรื่องการทรงนำของพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

การได้รับค⁠ว⁠า⁠มชอบธรรม

พ⁠ร⁠ะ⁠ค⁠ั⁠ม⁠ภ⁠ี⁠ร⁠์ก⁠ล⁠่⁠า⁠วถึงสองวิธีในการได้รับค⁠ว⁠า⁠มชอบธรรมต่อพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าคือ โดยธรรมบัญญัติและโดยพระคุณ และทั้งสองวิธีนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้ หากคุณแสวงหาการได้รับค⁠ว⁠า⁠มชอบธรรมโดยธรรมบัญญัติ คุณก็จะไม่สามารถได้รับโดยพระคุณ และหากคุณแสวงหาการได้รับค⁠ว⁠า⁠มชอบธรรมโดยพระคุณ คุณก็จะไม่สามารถได้รับโดยการรักษาธรรมบัญญัติ และนี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเน้นย้ำในเรื่องนี้ เนื่องจากผมสังเกตเห็นว่าคริสเตียนจำนวนมากมักพยายามที่จะผสมผสานธรรมบัญญัติและพระคุณเข้าไว้ด้วยกัน

คนเหล่านั้นพยายามรักษาตัวเองให้อยู่ในสถานะที่ถูกต้องกับพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าโดยอาศัยธรรมบัญญัติบางส่วนและโดยพระคุณบางส่วน ค⁠ว⁠า⁠มจริงก็คือ พวกเขาไม่เข้าใจทั้งในเรื่องของพระคุณหรือธรรมบัญญัติเลย

ธรรมบัญญัติคือชุดของกฎเกณฑ์ที่คุณต้องรักษา หากคุณรักษากฎเกณฑ์ทั้งหมดได้ - ตลอดเวลา - คุณก็จะได้รับค⁠ว⁠า⁠มชอบธรรม แต่ในทางกลับกัน พระคุณคือสิ่งที่เราไม่สามารถหามาได้ด้วยตัวของเราเอง แต่พระคุณคือการรับจากพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ดังที่อธิบายไว้ในเอเฟซัส 2:8 ว่า

“เพราะว่าโดยพระคุณ คุณได้รับค⁠ว⁠า⁠มรอดโดยค⁠ว⁠า⁠มเชื่อ” (THSV11)

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่ามีเพียงพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์เดียวเท่านั้นที่สามารถคิดค้นวิธีที่จะได้รับค⁠ว⁠า⁠มชอบธรรมโดยค⁠ว⁠า⁠มเชื่อได้ ผมเชื่อว่ามนุษย์ธรรมดาๆ ไม่มีวันคิดค้นวิธีการได้รับค⁠ว⁠า⁠มชอบธรรมเช่นนี้ได้ด้วยตัวเอง เท่าที่ผมทราบ ศาสนาหลักอื่นๆ ทุกศาสนา ต่างก็กำหนดให้ผู้คนได้รับค⁠ว⁠า⁠มชอบธรรมโดยการทำอะไรบางอย่าง ศาสนาที่ต่างกันก็มีข้อกำหนดที่แตกต่างกันไป แต่โดยพื้นฐานแล้ว ทุกศาสนาล้วนมีแนวคิดเดียวกันนี้ คือ "ฉันจะเป็นคนชอบธรรมได้ ถ้าฉันทำสิ่งเหล่านี้ และไม่ทำสิ่งเหล่านั้น"

หากเราเข้าใจอย่างถูกต้อง สิ่งนี้หมายค⁠ว⁠า⁠มว่า ค⁠ว⁠า⁠มเชื่อของคริสเตียนนั้น มีค⁠ว⁠า⁠มเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างสิ้นเชิง ไม่มีศาสนาอื่นใดที่พยายามเสนอค⁠ว⁠า⁠มชอบธรรมโดยอาศัยพระคุณที่ได้รับผ่านทางค⁠ว⁠า⁠มเชื่อเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อคุณน้อมรับพระคุณของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠า พ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์ก็จะประทานฤทธิ์อำนาจให้คุณดำเนินชีวิตที่เป็นอิสระจากการควบคุมของบาป ในโรม 6:14 เปาโลกำลังพูดกับผู้ที่ได้รับพระคุณของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าว่า

“บาปจะไม่ครอบงำพวกท่านต่อไป เพราะว่าท่านไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ” (THSV11)

ขอให้สังเกตว่าทั้งสองสิ่งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้ คือ ถ้าคุณอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ คุณก็ไม่ได้อยู่ภายใต้พระคุณ แต่ถ้าคุณอยู่ภายใต้พระคุณ คุณก็ไม่ได้อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ คุณไม่สามารถอยู่ภายใต้ทั้งสองอย่างนี้ในเวลาเดียวกันได้

ผมสังเกตด้วยว่าเปาโลก⁠ล⁠่⁠า⁠วว่า บาปจะไม่ครอบงำคุณเพราะคุณไม่ได้อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ ค⁠ว⁠า⁠มหมายก็คือ หากคุณอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ บาปก็จะครอบงำคุณ หากเราแสวงหาการได้รับค⁠ว⁠า⁠มชอบธรรมด้วยการรักษาธรรมบัญญัติแล้ว เราก็จะไม่มีทางหนีพ้นเงื้อมมือของค⁠ว⁠า⁠มบาปไปได้เลย

ให้เรามาดูโรม 8:14 อีกครั้ง

“เพราะว่าพระวิญญาณของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าทรงนำใคร คนนั้นก็เป็นบุตรของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠า” (THSV11)

แล้วเราดำเนินชีวิตในฐานะบุตรของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าโดยการรักษากฎเกณฑ์ต่างๆ หรือไม่? ไม่เลย เราดำเนินชีวิตในฐานะบุตรของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าโดยการทรงนำของพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ นั่นเป็นวิธีการเดียวที่เราจะสามารถดำเนินชีวิตในฐานะบุตรของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าที่โตเป็นผู้ใหญ่ได้

คราวนี้ให้เรามาดูใน กาลาเทีย 5:18 กัน

“แต่ถ้าท่านทั้งหลายได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณ ท่านก็ไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ” (THSV11)

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่คำก⁠ล⁠่⁠า⁠วนั้นชัดเจนคือ คุณจะกลายเป็นบุตรของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าได้โดยการทรงนำของพระวิญญาณ และหากคุณได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณแล้ว คุณก็จะไม่อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ

อย่างไรก็ตาม สำหรับใครหลายๆ คนที่อ้างว่าตนเป็นคริสเตียนนั้น การทำตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็เหมือนกับการเดินโดยใช้ไม้ค้ำ พวกเขาเดินกะโผลกกะเผลกไปรอบๆ โดยพยุงตัวเองบนไม้ค้ำนั้น แต่พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าทรงตรัสว่า “จงโยนไม้ค้ำนั้นทิ้งไป และจงวางใจในเรา!” อย่างไรก็ตาม ผมได้ค้นพบว่าผู้คนมักจะหวาดกลัวที่จะวางใจในพระคุณของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าอย่างสมบูรณ์ เราทุกคนต่างต้องการยึดถือเอากฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เรารักษาอยู่ ซึ่งสิ่งนั้นก็คือไม้ค้ำยันของเรานั่นเอง แต่มันไม่ได้ผล! ดังนั้นเราจึงต้องพ⁠ึ⁠่⁠ง⁠พ⁠าพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์อย่างสมบูรณ์

หนทางของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าสู่ค⁠ว⁠า⁠มชอบธรรมและค⁠ว⁠า⁠มบริสุทธิ์นั้นไม่ใช่ได้มาด้วยการดิ้นรน แต่ได้มาด้วยการยอม คือการยอมจำนนต่อพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ หมายถึงเมื่อคุณมาถึงจุดสิ้นสุดแห่งค⁠ว⁠า⁠มพยายามของตัวเองและพูดว่า “พ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์เจ้าข้า ขอพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์ทรงรับช่วงต่อเถิด ข้าพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์ไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์นี้ได้อีกต่อไป แต่พ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์ทรงทำได้!” สิ่งนี้ไม่ได้หมายค⁠ว⁠า⁠มว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีค⁠ว⁠า⁠มมุ่งมั่นตั้งใจจริงอีกต่อไป แต่หมายค⁠ว⁠า⁠มว่าคุณต้องใช้ค⁠ว⁠า⁠มมุ่งมั่นตั้งใจจริงของคุณในลักษณะที่แตกต่างออกไปคือ คุณต้องใช้ค⁠ว⁠า⁠มมุ่งมั่นตั้งใจจริงที่จะไม่ทำสิ่งนั้นด้วยตนเอง แต่โดยการไว้วางใจในพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์

โดยธรรมชาติแล้ว ผมเป็นคนที่ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง และมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ทุกครั้งที่ผมมีปัญหา สัญชาตญาณตามธรรมชาติของผมคือ การหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ผมใช้เวลาหลายปีกว่าจะมาถึงจุดที่ผมไม่ทำอย่างนั้นอีก แต่ผมกลับพูดว่า “พ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์เจ้าข้า วิธีแก้ปัญหาของพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์คืออะไร?” บ่อยครั้งที่วิธีแก้ปัญหาของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠านั้นแตกต่างจากสิ่งที่ผมเคยคิดได้ ชีวิตคริสเตียนไม่ใช่ชีวิตแห่งการดิ้นรน แต่เป็นชีวิตแห่งการยอมจำนนต่อพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ภายในตัวเรา

ในโรมบทที่ 7 เปาโลอธิบายเรื่องนี้ด้วยตัวอย่างจากค⁠ว⁠า⁠มสัมพันธ์ในชีวิตแต่งงาน การเกิดผลในชีวิตของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณพยายามมากแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับคนที่คุณแต่งงานด้วย หากคุณแต่งงานกับธรรมชาติฝ่ายเนื้อหนัง คุณก็จะนำการงานของเนื้อหนังออกมา แต่หากคุณรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพ⁠ร⁠ะ⁠ค⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ต⁠์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ผ่านทางพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์แล้ว คุณจะนำผลของพระวิญญาณออกมา

จงมีสัมพันธ์สนิทอยู่เสมอ

ในยอห์น 15:1 พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ูทรงเปรียบเทียบค⁠ว⁠า⁠มสัมพันธ์ของเรากับพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์เสมือนกับเถาองุ่นและแขนงว่า

“เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ิ⁠ด⁠าของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา” (THSV11) (ผู้ดูแลรักษาจะเป็นผู้ที่ลิดกิ่ง)

ในข้อ 4 และ 5 พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ูทรงตรัสกับเหล่าสาวกของพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์ต่อไปว่า

“จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเถา พวกท่านก็เช่นเดียวกันจะเกิดผลไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเรา เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (THSV11)

แขนงของเถาองุ่นไม่ได้ออกผลองุ่นโดยอาศัยค⁠ว⁠า⁠มพยายามอย่างหนัก แขนงไม่ได้ตั้งปณิธานแล้วบอกว่า "ตอนนี้ฉันกำลังจะออกผลองุ่นแล้วนะ!" แต่มันออกผลได้เพียงแค่เพราะมันต่อเข้ากับลำต้น - ซึ่งก็คือต้นของเถาองุ่นนั่นเอง ชีวิตเดียวกันที่อยู่ในลำต้นก็ไหลสู่แขนง และชีวิตที่อยู่ในแขนงก็ก่อให้เกิดผลตามชนิดของมัน พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ูทรงตรัสว่า “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง หากท่านติดสนิทอยู่กับเรา - เข้าอยู่ในเรา - ท่านก็จะเกิดผลมาก”

พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ูยังทรงตรัสต่อไปเกี่ยวกับการตัดแต่งกิ่ง ก⁠ล⁠่⁠า⁠วคือ เมื่อผู้ดูแลรักษาต้นองุ่นตัดแต่งต้นหรือเถาองุ่น เขาก็เป็นดั่งคนที่ไร้ค⁠ว⁠า⁠มปรานี เพราะเขาจะลิดแขนงจนกุดเหลือแต่ลำต้น คุณอาจจะคิดว่าเถาองุ่นคงไม่มีวันจะออกผลอีกต่อไป แต่ในปีหน้ามันก็กลับออกผลมากกว่าที่เดิม

ในบางครั้งการดิ้นรนต่อสู้ที่เจ็บปวดที่สุดของเราก็อาจนำมาซึ่งการเกิดผล ตอนนี้พ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ิ⁠ด⁠าอาจจะกำลังลิดชีวิตของคุณอยู่ แต่อย่าเพิ่งยอมแพ้! และอย่าพูดว่า "สิ่งนี้เกิดขึ้นกับฉันได้อย่างไร?" เพียงแค่คุณยอมเท่านั้น! คือยอมจำนนต่อผู้ดูแลรักษาต้นองุ่นในชีวิตของคุณ

ทั้งสามพระภาคของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠านั้นล้วนมีส่วนร่วมในกระบวนการของการทำให้เกิดผล ก⁠ล⁠่⁠า⁠วคือ พ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ิ⁠ด⁠าทรงเป็นผู้ดูแลรักษาสวนองุ่น พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ูทรงเป็นเถาองุ่น และพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ทรงเป็นชีวิตที่ไหลผ่านเถาองุ่นไปยังแขนงทั้งหลาย แท้จริงแล้วพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ทรงเป็นผู้ที่ทำให้เกิดผล มันไม่ใช่ผลของค⁠ว⁠า⁠มพยายามอันยอดเยี่ยมของเรา ไม่ใช่ผลของศาสนา แต่เป็นผลของพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์

แผนที่หรือผู้นำทาง?

ผมขอแบ่งปันเรื่องอุปมาเล็กๆ น้อยๆ ให้คุณฟังเพื่อให้เข้าใจเรื่องนี้ได้ชัดเจนขึ้น ผมแบ่งปันเรื่องนี้จากประสบการณ์ของผมเอง ผมรู้ว่าการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อทำให้พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าพอพระทัยด้วยค⁠ว⁠า⁠มพยายามของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร บางครั้งผมพยายามจะเป็น “คนเคร่งศาสนา” ให้มากขึ้น แต่ผมก็มักจะรู้สึกไม่พอใจและขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก เพราะผมไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร! แต่แล้วผมก็ได้เรียนรู้ว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำให้การดำเนินชีวิตของเราไปกับพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ูกลับมามีชีวิตชีวาขึ้น

คำอุปมานี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแผนที่และผู้นำทาง เรื่องมีอยู่ว่าสมมติว่าคุณอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งและคุณต้องหาทางไปยังจุดหมายปลายทางอันไกลโพ้นของประเทศที่คุณไม่เคยไปมาก่อน พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าให้สองทางเลือกแก่คุณคือ คุณสามารถมีแผนที่หรือมีผู้นำทางส่วนตัวก็ได้

คุณเป็นคนแข็งแกร่ง ฉลาด และพ⁠ึ⁠่⁠ง⁠พ⁠าตนเองได้ และพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าทรงตรัสกับคุณว่า “เจ้าต้องการอะไร แผนที่หรือผู้นำทาง?” คุณตอบว่า “ข้าพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์อ่านแผนที่ได้เก่ง ข้าพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์ขอแผนที่” เมื่อรู้ทิศทางที่ถูกต้องแล้ว คุณก็เริ่มออกเดินทางไปตามเส้นทางนั้น ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสง นกกำลังส่งเสียงร้องเพลง และคุณก็รู้สึกมีค⁠ว⁠า⁠มสุข คุณพูดกับตัวเองว่า “นี่มันง่ายนิดเดียว! ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก!”

ประมาณสามวันต่อมา คุณมาอยู่ตรงกลางป่า ในเวลาเที่ยงคืน และฝนก็กำลังตก มันเต็มไปด้วยปัญหา! ยิ่งไปกว่านั้นคือ คุณกำลังอยู่ในจุดที่วิกฤตจริงๆ เพราะคุณไม่รู้ว่าตัวเองกำลังหันหน้าไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก หรือทิศตะวันตก แต่แล้วก็มีเสียงอันแผ่วเบาดังขึ้นมาว่า “ให้ผมช่วยนำทางคุณได้ไหม?” และคุณก็ตอบว่า “โอ้ ฉันกำลังต้องการผู้นำทางพอดีเลย! ฉันต้องการคุณ!" แล้วผู้นำทางก็บอกว่า “ยื่นมือของคุณมาให้ผมสิ แล้วผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่เอง” หลังจากนั้นไม่นาน คุณและผู้นำทางก็ออกไปยังถนนอีกครั้งและเดินเคียงข้างกัน

แล้วสิ่งนี้ก็ผุดขึ้นมาในใจว่า “ฉันนี่ค่อนข้างโง่จริงๆ เลย ที่ต้องตื่นตกใจตอนที่อยู่ในป่านั้น ทั้งๆ ฉันน่าจะหาทางออกมาเองได้” ดังนั้นคุณจึงหันมาอธิบายเรื่องนี้ให้ผู้นำทางของคุณฟัง แล้วผู้นำทางของคุณก็ไม่อยู่ตรงนั้นอีกต่อไป! คุณก็ยักไหล่แล้วพูดว่า "เอาล่ะ ฉันก็ทำเองได้" แล้วคุณก็ออกเดินทางอีกครั้ง

ประมาณสองวันต่อมา คุณก็มาอยู่กลางหนองน้ำ และคุณกำลังจมลึกลงไปทีละนิดทุกครั้งที่คุณก้าวเดินออกไป คุณไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร! คุณคิดกับตัวเองว่า “ฉันคงไม่สามารถขอค⁠ว⁠า⁠มช่วยเหลือได้อีกแล้ว เพราะครั้งก่อนที่เขาช่วยฉันไว้แล้ว และฉันก็ทำพลาดไป"

และในขณะนี้คุณก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าผู้นำทางกำลังยืนอยู่เคียงข้างคุณอีกครั้ง และเขาพูดว่า "ให้ผมช่วยคุณนะ" และพวกคุณก็เริ่มออกเดินทางด้วยกันอีกครั้ง

เมื่อมาถึงจุดนี้ คุณนึกขึ้นได้ว่าแผนที่ยังอยู่ในกระเป๋าของคุณ คุณจึงนำมันออกมาและยื่นให้กับผู้นำทางแล้วพูดว่า “บางทีคุณอาจจะต้องการแผนที่นี้ก็ได้” แต่ผู้นำทางกลับตอบว่า “ขอบคุณครับ ผมรู้จักเส้นทางนั้น ผมไม่จำเป็นต้องใช้แผนที่นี้” จากนั้นเขาก็พูดว่า "อันที่จริงแล้ว ผมเองเป็นคนทำแผนที่นั้นขึ้นมา"

แน่นอนว่าแผนที่นั้นก็คือ กฎเกณฑ์ มันสมบูรณ์แบบ ทุกรายละเอียดนั้นถูกต้องแม่นยำ ทุกรายการทางภูมิศาสตร์มีการทำเครื่องหมายไว้อย่างถูกต้อง แต่มันขึ้นอยู่กับคุณที่จะตัดสินใจว่า “ฉันไม่ต้องการแผนที่นั้น แต่ฉันจะวางใจในผู้นำทางของฉัน”

ใครคือผู้นำทางส่วนตัว? แน่นอนว่าคือ พ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์!

เรื่องราวแบบนี้ต้องเกิดขึ้นอีกบ่อยครั้งแค่ไหน? อีกกี่ครั้งที่เราจะกลับไปวางใจในสติปัญญาและค⁠ว⁠า⁠มฉลาดของเราเอง และโดยการทำเช่นนี้เราก็ดูหมิ่นพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์?

เจ้าสาวผู้ซึ่งวางใจในผู้นำทางของเธอ

ปฐมกาลบทที่ 24 เป็นเรื่องราวที่บอกเล่าไว้อย่างชัดเจนว่าอ⁠ั⁠บ⁠ร⁠า⁠ฮ⁠ั⁠มได้พบกับเจ้าสาวของอิสอัคบุตรชายของเขาอย่างไร เขาได้ส่งคนรับใช้กลับไปยังดินแดนเมโสโปเตเมียเพื่อตามหาหญิงสาวที่มาจากวงศ์ตระกูลของเขาเอง ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นข้อกำหนดที่สำคัญของวัฒนธรรมในสมัยนั้น

เรื่องราวนี้เป็นคำอุปมาที่แสดงออกมาให้เห็นในประวัติศาสตร์ โดยมีอ⁠ั⁠บ⁠ร⁠า⁠ฮ⁠ั⁠มซึ่งเปรียบเสมือนพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าพ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ิ⁠ด⁠า อิสอัคซึ่งเปรียบเสมือนพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ูคริสต์พ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ุ⁠ต⁠ร เจ้าสาวที่ได้รับเลือก (ซึ่งมีชื่อว่าเรเบคาห์) ก็เปรียบเสมือนค⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ต⁠จ⁠ั⁠ก⁠ร แต่ยังมีอีกผู้หนึ่งที่มีบทบาทหลักซึ่งยังไม่มีการระบุชื่อ นั่นก็คือคนรับใช้ คนรับใช้ผู้นั้นเปรียบเสมือนพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ ในปฐมกาลบทที่ 24 แสดงให้เห็นภาพเหมือนของพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่พ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์ไม่ต้องการแม้แต่จะเอ่ยชื่อของพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์เอง เพราะพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์นั้นไม่เคยดึงค⁠ว⁠า⁠มสนใจมาสู่พ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์เอง แต่ทรงกระทำกิจเพื่อนำพระสิริมาสู่พ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ิ⁠ด⁠าและพ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ุ⁠ต⁠รเสมอ

คนรับใช้ออกเดินทางโดยนำอูฐสิบตัวที่บรรทุกของกำนัลต่างๆ ไปด้วย โดยตั้งใจว่าเขาจะออกไปเลือกเจ้าสาว ในตะวันออกกลางนั้น เมื่อใดก็ตามที่คุณทำการเลือกและสร้างค⁠ว⁠า⁠มสัมพันธ์ที่สำคัญๆ คุณจะให้ของขวัญหรือของกำนัลเสมอ หากคนๆ นั้นรับของขวัญของคุณ คุณในฐานะที่เป็นบุคคลก็จะได้รับการยอมรับ แต่หากของขวัญของคุณถูกปฏิเสธ ก็แปลว่าคุณนั้นก็ถูกปฏิเสธไปด้วย นี่เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างค⁠ว⁠า⁠มสัมพันธ์

จากที่ผมเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนนั้นของโลก ผมบอกคุณได้เลยว่าอูฐนั้นบรรทุกสัมภาระจำนวนมหาศาล และคนรับใช้ผู้นั้นก็เดินทางไปพร้อมกับอูฐจำนวนไม่น้อยกว่าสิบตัว! เขามาถึงสถานที่ที่เขาทั้งหลายให้น้ำแก่ฝูงสัตว์กัน และเขาก็อธิษฐานว่า “ข้าพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์จะขอให้หนึ่งในหญิงสาวเหล่านี้ตักน้ำให้ข้าพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์ ขอให้หญิงสาวผู้ที่ได้รับการทรงเลือกนั้นพูดว่า 'ดิฉันจะตักน้ำให้ท่านและอูฐของท่านด้วย' ” (อย่าลืมว่าอูฐหนึ่งตัวนั้นสามารถดื่มน้ำได้ถึงสี่สิบแกลลอน ดังนั้นหญิงสาวที่ได้รับการทรงเลือกคนนี้จะต้องอาสาตักน้ำถึงสี่ร้อยแกลลอนด้วยกัน)

แล้วเรเบคาห์ก็มาถึง คนใช้ผู้นั้นจึงพูดกับเธอว่า "ขอน้ำให้ฉันดื่มหน่อย" และเรเบคาห์ตอบว่า “ได้เลยค่ะ! และดิฉันจะตักน้ำให้อูฐของท่านด้วย” คนใช้จึงก⁠ล⁠่⁠า⁠วในใจว่า “นี่คือหญิงผู้นั้น!” ผมขอเสริมว่าเรเบคาห์นั้นเป็นแบบฉบับของค⁠ว⁠า⁠มเชื่อและการแสดงออกโดยก⁠า⁠ร⁠ก⁠ร⁠ะ⁠ท⁠ำ เพราะการตักน้ำให้อูฐถึงสิบตัวนั้นต้องทำงานเยอะมาก

จากนั้นคนใช้ก็หยิบอัญมณีอันสวยงามออกมา แล้ววางลงบนหน้าผากของเรเบคาห์ ทันทีที่เธอรับอัญมณีนั้นก็หมายค⁠ว⁠า⁠มว่าเธอเป็นเจ้าสาวที่ได้รับการแต่งตั้ง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรเบคาห์ปฏิเสธอัญมณีนั้น? เธอคงไม่มีวันได้เป็นเจ้าสาว! แล้วเราจะพูดถึงค⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ต⁠จ⁠ั⁠ก⁠รที่ปฏิเสธของประทานของพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ว่าอะไร? ค⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ต⁠จ⁠ั⁠ก⁠รนั้นก็ขาดเครื่องหมายอันเด่นชัดของการเป็นเจ้าสาวนั่นเอง!

เรเบคาห์ไม่เคยมีแผนที่ เธอไม่เคยไปในที่ที่ผู้นำทางกำลังพาเธอไป เธอไม่เคยเห็นชายที่เธอกำลังจะแต่งงานด้วย หรือเห็นพ่อของเขามาก่อน แต่เธอมีผู้นำทางที่รู้จักเส้นทางนั้น! และผู้นำทางนั้นก็รู้จักทั้งพ่อและลูกชาย และเขาก็สามารถให้ข้อมูลทั้งหมดที่เธอต้องการแก่เธอได้ด้วย

นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณและผมคือ เราไม่สามารถทำได้สำเร็จโดยใช้แผนที่ แต่เราต้องมีผู้นำทาง ในชีวิตนี้เราอาจไม่มีวันเห็นพ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ิ⁠ด⁠า หรือพ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ุ⁠ต⁠ร หรือสถานที่ที่เป็นจุดหมายปลายทางของเรา แต่ถ้าเรายอมให้พ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ทรงนำเรา พ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์ก็จะทรงชี้ทางให้แก่เรา พ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์จะทรงเป็นแหล่งของข้อมูลที่เกี่ยวกับพ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ิ⁠ด⁠าและพ⁠ร⁠ะ⁠บ⁠ุ⁠ต⁠รให้กับเราด้วย

ขอให้เราใช้เวลาในวันนี้เพื่อขอบพระคุณพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าสำหรับพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ของพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์!

35
แบ่งปัน