เราต้องเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตเอง

Teaching Legacy Letter
*First Published: 2012
*Last Updated: ธันวาคม 2025
14 min read
ในทุกความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างบุคคลสองคนจำเป็นต้องมีการสื่อสารสองทางกันอย่างสม่ำเสมอ หากปราศจากสิ่งนี้ ความสัมพันธ์ดังกล่าวก็ไม่สามารถคงอยู่ได้ การแต่งงานเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ดี ชายและหญิงอาจแต่งงานกันด้วยความรักที่แท้จริงต่อกัน และความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะทำให้การแต่งงานของพวกเขาประสบความสำเร็จ แต่หากพวกเขาไม่สร้างและรักษาการสื่อสารระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอและอย่างมีเสรีภาพ ชีวิตแต่งงานของพวกเขาก็จะเริ่มพังทลายลงในไม่ช้า สิ่งนี้ก็เป็นจริงเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของคริสเตียนกับพระเจ้า หากไม่มีการสื่อสารสองทางที่เปิดเผยและสม่ำเสมอแล้ว ความสัมพันธ์นั้นย่อมไม่มีวันจะประสบความสำเร็จ เราต้องเรียนรู้ที่จะพูดคุยกับพระเจ้าเป็นประจำ และยอมให้พระเจ้าตรัสกับเราเป็นประจำเช่นกัน
พระเจ้าตรัสอย่างไร
พระเจ้าตรัสกับเราอย่างไร? โดยเบื้องต้นแล้วผ่านทางพระคำที่เป็นลายลักษณ์อักษรของพระองค์ นั่นคือพระคัมภีร์ พระคัมภีร์เป็นพื้นฐานของทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสโดยทั่วๆ ไปกับผู้เชื่อทุกคน นอกเหนือจากนี้ พระเจ้ายังทรงมีสิ่งที่เฉพาะเจาะจงซึ่งพระองค์ทรงประสงค์จะตรัสกับเราแต่ละคนเป็นรายบุคคลด้วย แต่เราไม่มีสิทธิ์คาดหวังที่จะได้ยินจากพระเจ้าในลักษณะพิเศษเฉพาะบุคคล หากเรายังไม่ได้ค้นหาอย่างรอบคอบถึงทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเราทุกคนโดยทั่วๆ ไปผ่านทางพระคัมภีร์ก่อน
พระคัมภีร์เป็นทั้งพื้นฐานของการสื่อสารที่แท้จริงจากพระเจ้า และเป็นมาตรฐานที่ต้องใช้ในการตรวจสอบการสื่อสารที่มาในรูปแบบอื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม การอ่านพระคัมภีร์เพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอ ใน 2โครินธ์ 3:6 (THSV11) เปาโลกล่าวไว้ว่า “...ด้วยว่าตัวอักษรที่เขียนไว้นั้นทำให้ตาย แต่พระวิญญาณประทานชีวิต” หากปราศจากพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ทุกสิ่งที่เรามองเห็นบนหน้ากระดาษของพระคัมภีร์นั้นก็เป็นเพียงตัวอักษรที่ตายแล้ว แต่เมื่อตัวอักษรเหล่านี้กลายเป็นช่องทางการสื่อสารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะไม่เพียงแค่มองเห็นตัวอักษรอีกต่อไป แต่เราจะได้ยินสิ่งเหล่านั้นในใจของเราเสมือนเป็นเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับเราโดยตรงและเป็นการส่วนตัวด้วย
เมื่อหลายปีก่อน ผมได้พิสูจน์เรื่องนี้อย่างน่าทึ่งด้วยประสบการณ์ของตัวผมเอง ในฐานะที่ผมเป็นนักปรัชญาโดยอาชีพ ผมตั้งต้นที่จะศึกษาพระคัมภีร์ตามหลักวิชาการและการวิเคราะห์แบบเดียวกับที่ผมเคยศึกษางานปรัชญาอื่นๆ แต่ผมพบว่ามันเป็นหนังสือที่ไกลตัว น่าเบื่อ และไม่สามารถเข้าใจได้ มีเพียงความสำนึกในหน้าที่เท่านั้นที่ทำให้ผมอ่านต่อไป หลังจากนั้นประมาณเก้าเดือน พระเจ้าทรงเปิดเผยพระเยซูแก่ผมเป็นการส่วนตัวในฐานะพระบุตรของพระเจ้า และเติมผมให้เต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ วันรุ่งขึ้นเมื่อผมเปิดพระคัมภีร์อีกครั้งเพื่ออ่านต่อ ผมก็ต้องรู้สึกประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลง มันเป็นราวกับว่ามีเพียงแค่คนสองคนในจักรวาลนี้เท่านั้น คือพระเจ้าและตัวผมเอง ทุกคำที่ผมอ่าน คือ สิ่งที่พระเจ้าตรัสกับผมเป็นการส่วนตัว และนี่คือวิธีที่คริสเตียนทุกคนควรอ่านพระคัมภีร์ของตนเอง
ในการที่จะได้ยินพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับเราผ่านทางพระคัมภีร์นั้น มีเงื่อนไขสำคัญบางประการที่เราจะต้องทำตาม
จงละทิ้งทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง
ก่อนอื่น เราต้องละทิ้งทัศนคติหรือความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง ยากอบกล่าวไว้ว่า “เพราะฉะนั้นจงขจัดความโสมมทุกอย่างและความชั่วที่มีอยู่ดาษดื่น และด้วยใจที่สุภาพอ่อนโยน จงน้อมรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น” (ยากอบ 1:21 THSV11) ความโสมมสามารถนิยามได้ว่าเป็น "จินตนาการที่ไม่สะอาดและไร้การควบคุม" ส่วนความดื้อดึงคือ แนวโน้มที่จะโต้แย้งหรือตอบโต้กับพระเจ้า สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับความสุภาพอ่อนโยน ในทำนองเดียวกัน เปโตรกล่าวว่า “เพราะฉะนั้น พวกท่านจงละทิ้งความชั่วทุกอย่าง และการล่อลวงทุกรูปแบบ ความไม่จริงใจ ความอิจฉาริษยา และ การใส่ร้ายทุกชนิด...จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณที่ไร้สิ่งเจือปน...” (1เปโตร 2:1–2) ข้างต้นคือรายการของทัศนคติที่ไม่ถูกต้องซึ่งต้องได้รับการจัดการเสียก่อน จึงจะได้ยินพระเจ้าตรัสกับเราผ่านทางพระคัมภีร์อย่างที่ควรจะเป็น การละทิ้งทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเช่นนี้จะทำให้เราสามารถเข้าถึงพระคัมภีร์ได้ด้วยจิตวิญญาณที่สุภาพอ่อนโยน และยอมรับการสอน
ในมาระโก 10:14–15 พระเยซูทรงวางเด็กเล็กๆ ไว้เป็นแบบอย่างในการน้อมรับความจริงแห่งอาณาจักรของพระเจ้า ลักษณะสำคัญของการตอบสนองของเด็ก ซึ่งพระเยซูทรงเน้นย้ำในข้อนี้คือ การยอมรับการสอน หมายถึง ความเต็มใจที่จะเรียนรู้อย่างเปิดเผยโดยปราศจากอคติหรือความคิดที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า ในสดุดี 25:5 กษัตริย์ดาวิดทรงอธิษฐาน ซึ่งคำอธิษฐานนี้อาจเป็นแบบอย่างสำหรับเราทุกคนในขณะที่เราเปิดพระคัมภีร์อ่าน คือ “ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในความจริงของพระองค์ และขอทรงสอนข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รอคอยพระองค์อยู่วันยังค่ำ" คำว่า "รอคอย" บ่งบอกถึงความคาดหวังด้วยท่าทีที่สงบและอดทน การได้ยินจากพระเจ้าผ่านทางพระคำของพระองค์นั้นมีความสำคัญมาก จึงต้องได้รับการจัดให้อยู่ในลำดับที่สำคัญในชีวิตส่วนตัวของเรา
จงจัดระเบียบภาระผูกพันของคุณ
ในคำอธิษฐานของโมเสส บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอีกท่านหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงแนวคิดในเรื่องการจัดระเบียบนี้ได้เป็นอย่างดี คือ “ขอทรงสอนข้าพระองค์ทั้งหลายให้นับวันของตน เพื่อพวกข้าพระองค์จะมีจิตใจที่มีปัญญา” (สดุดี 90:12 THSV11) หรืออีกนัยหนึ่ง โมเสสกล่าวว่า ขอทรงช่วยเราในการจัดระเบียบกิจกรรมหรือภาระผูกพันต่างๆ ที่ต้องทำในแต่ละวัน เพื่อเราจะมีเวลาที่จำเป็นสำหรับการรับฟังพระเจ้า และรับปัญญาที่แท้จริงซึ่งมาจากพระองค์ได้เพียงผู้เดียว "เพราะพระยาเวห์ประทานปัญญา และจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ความรู้กับความเข้าใจก็ออกมา" (สุภาษิต 2:6 THSV11)
จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ
อย่างไรก็ตาม ดังที่ยากอบได้เตือนเราไว้ในจดหมายของท่านว่า แค่เพียงแต่ฟังพระวจนะของพระเจ้าอย่างเดียวเท่านั้นไม่เพียงพอ “แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง”(ยากอบ 1:22 THSV11) ท่านยังบอกต่อไปด้วยว่า การได้ยินพระวจนะของพระเจ้าก็เหมือนกับการส่องกระจกเงา พระคำแสดงให้เราเห็นด้านต่างๆ ในชีวิตของเราที่ไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งในทางปฏิบัติแล้ว เราจะได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้ก็ต่อเมื่อเราทำการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขปรับปรุงตามที่กระจกเงาได้แสดงให้เราเห็นถึงสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยน
ในยอห์น 7:17 (THSV11) พระเยซูประทานคำสัญญาซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจหลักคำสอนในพระคัมภีร์ว่า “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง” ความรู้ความเข้าใจในหลักคำสอนจะถูกมอบให้เฉพาะผู้ที่เต็มใจทำตามสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้จากคำสอนเท่านั้น การเชื่อฟังนำเราไปสู่ความจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่การไม่เชื่อฟังปิดกั้นความจริงและทำให้เราหลงไปสู่ความเชื่อที่ผิดได้
จงอธิษฐาน
การอ่านพระคัมภีร์ด้วยวิธีที่กล่าวมานี้ทำให้เราได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่นี่เป็นวิธีการสื่อสารของเรากับพระองค์เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่งประกอบด้วยการอธิษฐาน ในบทเพลงซาโลมอน เจ้าบ่าวพูดกับเจ้าสาวว่า “โผล่หน้ามาให้ยลโฉมหน่อยเถิด ขอให้ได้ยินเสียงของเธอ เพราะเสียงของเธอหวานจับใจ และใบหน้าของเธอก็งามน่ารัก (เพลงซาโลมอน 2:14 TNCV) นี่เป็นการแสดงออกถึงทัศนคติของพระคริสต์ที่มีต่อผู้เชื่อของพระองค์ กล่าวคือ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้ยินเสียงของเราและมีความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่างลึกซึ้งกับเรา เมื่อเรามาหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน เราต้องจำไว้เสมอว่าพระองค์จะไม่ทรงเมินเฉยต่อเรา หรือไม่ทรงเป็นผู้ที่เราเข้าถึงไม่ได้ ตรงกันข้าม พระองค์ทรงรักที่จะได้ยินและตอบคำอธิษฐานของเรา
ความสัมพันธ์ คือ กุญแจสำคัญ
การอธิษฐานมีมากกว่าการวิงวอนซึ่งเป็นเพียงรายการของคำขอที่เรานำมาทูลต่อพระเจ้า หากเรากลับมาพิจารณารูปแบบคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีกครั้ง เราจะเห็นว่าครึ่งแรกของคำอธิษฐานนั้นทำหน้าที่ในการสร้างทัศนคติของเราให้ถูกต้องต่อพระเจ้า หลังจากนั้นเราจึงได้รับการสนับสนุนให้นำคำวิงวอนของเรามาทูลขอ แล้วท้ายที่สุด พระเยซูทรงย้ำเตือนเราว่า “พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านจะทูลขอต่อพระองค์” (มัทธิว 6:8 THSV11) สิ่งสำคัญในการอธิษฐานไม่ได้อยู่ที่การทูลให้พระเจ้าทรงทราบถึงความต้องการของเรา ซึ่งพระองค์ทรงทราบอยู่ก่อนแล้ว แต่เป้าหมายคือ การสร้างความสัมพันธ์กับพระองค์จนเรามั่นใจในการจัดเตรียมของพระองค์ตามความจำเป็นของเรา
หากเราพึ่งพาแค่เพียงความสามารถของเราเอง จะไม่มีใครสามารถอธิษฐานแบบที่เราควรอธิษฐานได้ เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว พระเจ้าจึงได้ทรงประทานความช่วยเหลือที่เราต้องการในการอธิษฐานผ่านบุคคลเดียวกันกับที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้แปลความหมายของพระคัมภีร์เพื่อเรา นั่นก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในโรม 8:26–27 เปาโลอธิบายถึงบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงมีส่วนในคำอธิษฐานของเราว่า
“ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าควรจะอธิษฐานขออะไรอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทน ด้วยการคร่ำครวญซึ่งไม่อาจกล่าวเป็นถ้อยคำ และพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์ ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงอธิษฐานขอเพื่อธรรมิกชนตามพระประสงค์ของพระเจ้า” (THSV11)
ในที่นี้เปาโลกล่าวถึงความอ่อนแอ (ในพระคัมภีร์ KJV ภาษาอังกฤษใช้คำว่า 'ความบกพร่อง') หากดูความหมายตามบริบทแล้ว เปาโลไม่ได้หมายความถึงความเจ็บป่วยทางร่างกายทุกรูปแบบ แต่หมายถึงความอ่อนแอที่มีอยู่ในธรรมชาติฝ่ายเนื้อหนังของเรา ความอ่อนแอนี้แสดงออกมาในสองสถานการณ์คือ บางครั้งเรารู้ว่าเราควรอธิษฐาน แต่ไม่รู้ว่าจะอธิษฐานเผื่อสิ่งใด หรือบางครั้งเรารู้ว่าจะอธิษฐานเผื่อสิ่งใด แต่ไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร ทั้งนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงจัดเตรียมความช่วยเหลือที่เราต้องการตามแต่ละสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ โดยแสดงให้เราเห็นว่าจะอธิษฐานอย่างไร และอธิษฐานขอสิ่งใด คำอธิษฐานเดียวที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งเราสามารถถวายแด่พระเจ้าได้ คือคำอธิษฐานที่พระองค์เองทรงประทานแก่เราก่อนผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
ได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณ
การพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ของเรายังคงดำเนินต่อไปอีก ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เพียงการเข้าใจพระคัมภีร์หรือการรู้วิธีอธิษฐานเท่านั้น แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นผู้นำทางที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้เพื่อนำเราในทุกช่วงของชีวิตคริสเตียนของเรา กล่าวคือ “เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำใคร คนนั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า” (โรม 8:14 THSV11) ดังนั้นเราจึงพบว่า ตัวเรามีความสัมพันธ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในสองรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับสัญลักษณ์สองประการของการเป็น "ประตู” และ “ทาง” ที่กล่าวถึงในจดหมายคำสอนของเราฉบับที่แล้ว (ดูมัทธิว 7:14) การที่จะเป็นบุตรของพระเจ้านั้น เราต้องบังเกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ดูยอห์น 1:12-13; 3:1–8) ซึ่งหมายถึงการเข้าสู่ "ประตู" หลังจากนั้น เพื่อที่จะดำเนินชีวิตในฐานะบุตรของพระเจ้า เราต้องได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งหมายถึงการดำเนินไปใน "ทาง" นั้น
การล่อลวงที่แนบเนียนจะเข้ามาเผชิญหน้ากับเราหลังจากที่เราได้เข้าสู่ประตูแห่งการบังเกิดใหม่แล้ว คือ การนำเอากฎเกณฑ์ทางศาสนามาแทนที่การทรงนำที่เป็นส่วนตัวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่น เราพูดกับตัวเองว่า “ถ้าฉันอธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์วันละหนึ่งชั่วโมง หรือ ถ้าฉันไปโบสถ์และถวายสิบลดเป็นประจำ หรือ ถ้าฉันหลีกเลี่ยงความสนุกสนานหรือความบันเทิงบางอย่าง - แล้วฉันก็จะมีชีวิตคริสเตียนที่ประสบความสำเร็จ” แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น! กฎเกณฑ์เช่นนี้และอื่นๆ อีกมากมายอาจเป็นสิ่งที่ดีและน่าปรารถนาที่จะทำตาม แต่สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถมาทดแทนการสามัคคีธรรมและการทรงนำที่เป็นส่วนตัวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เลย
ในความเป็นจริงแล้ว การที่เราวางใจในกฎเกณฑ์ทางศาสนานั้นก็เท่ากับว่าเรากำลังไม่ให้เกียรติพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากกฎเกณฑ์สามารถทำทุกอย่างที่จำเป็นให้เราได้ แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เองแก่เราเล่า? นี่เป็นความผิดพลาดที่ชาวกาลาเทียได้กระทำเมื่อเปาโลเขียนถึงพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลายเขลาถึงเพียงนั้นทีเดียวหรือ? พวกท่านเริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ แต่จะจบลงด้วยเนื้อหนังกระนั้นหรือ?” (กาลาเทีย 3:3 THSV11) งานที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งต้นกระทำในชีวิตของเรานั้น มีเพียงพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถกระทำให้สำเร็จได้
พระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เมื่อเผชิญกับความจำเป็นที่ต้องนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์คริสเตียนมักจะตอบสนองว่า “แต่ฉันจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงนำฉันอยู่จริงๆ? ฉันจะจำพระสุรเสียงของพระองค์ได้อย่างไร” บางครั้งผมรับมือกับคำถามแบบนี้ด้วยการตั้งคำถามกลับไปว่า “ถ้าโทรศัพท์ดังขึ้นและผมรับสาย ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าภรรยาของผมคือผู้ที่อยู่ปลายสายนั้น? ผมจะจำเสียงของเธอได้อย่างไร” แน่นอน คำตอบคือผมจำเสียงภรรยาของผมได้ เพราะผมรู้จักภรรยาของผม ความใกล้ชิดสนิทสนมกับภรรยาของผมทำให้ผมจำเสียงของเธอได้อย่างง่ายดาย
เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของเรากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ การที่เราจะสามารถจำพระสุรเสียงของพระวิญญาณได้นั้น เราจำต้องสร้างความใกล้ชิดสนิทสนมกับองค์พระวิญญาณเอง คริสเตียนจำนวนมากไม่ได้เห็นคุณค่าพระลักษณะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาตระหนักดีว่าพระบิดาเจ้าทรงเป็นบุคคล และพระคริสต์พระบุตรทรงเป็นบุคคล แต่พวกเขามองไม่เห็นว่าพระวิญญาณทรงเป็นเช่นนั้นด้วย ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงมีความเป็นบุคคลมากพอๆ กับพระบิดาและพระบุตร เราจำเป็นต้องรู้จักพระองค์ในลักษณะที่เป็นส่วนตัวโดยตรงแบบเดียวกับที่เรารู้จักกับพระบิดาและพระบุตร
ยิ่งเรารู้จักพระวิญญาณบริสุทธิ์ดีขึ้นเท่าไร เราก็จะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น และจำการทรงนำของพระองค์ในรูปแบบต่างๆ ได้ เมื่อคู่สามีภรรยาอยู่ด้วยกันมานานเพียงพอ พวกเขาจะพัฒนาวิธีสื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดเลย เช่น ความเงียบ การขมวดคิ้ว การบีบเบาๆ หรือลักษณะการมองแบบพิเศษ สิ่งเหล่านี้สามารถถ่ายทอดความหมายได้มากกว่าการสื่อสารออกมาเป็นประโยคเสียอีก
สิ่งเดียวกันนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในความสัมพันธ์ของเรากับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ไม่ทรงออกคำสั่งด้วยวาจาเสมอไป พระองค์ทรงมีวิธีต่างๆ มากมายในการโน้มน้าวหรือชี้นำเรา เช่น คำเตือนที่เกิดขึ้นภายในใจของเรา การเงียบที่แสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยของพระองค์ การหนุนน้ำใจที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น การสะกิดที่กระตุ้นเราให้กระทำบางอย่างโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน ยิ่งเรารับรู้ได้ไวต่อการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากเท่าไร เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตในโลกด้วยสันติสุขและความมั่นใจในฐานะบุตรที่แท้จริงของพระเจ้าได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น
จะเกิดอะไรขึ้นหากเราสะดุด?
สมมติว่าเราสะดุดในการดำเนินชีวิตคริสเตียนของเรา และถึงกับล้มลง! นั่นหมายความว่าเราล้มเหลวและเราไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งนี้ได้เลยใช่หรือไม่? ไม่แน่นอน! ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำแห่งการหนุนน้ำใจจากกษัตริย์ดาวิด:
“พระยาห์เวห์ทรงนำย่างเท้าคนใดให้มั่นคง ก็คนนั้นแหละที่พระองค์พอพระทัยทางของเขา แม้เขาสะดุด เขาจะไม่ล้มลง เพราะพระยาห์เวห์ทรงยุดมือเขาไว้” (สดุดี 37:23–24; THSV11)
ดาวิดได้เขียนคำเหล่านี้จากประสบการณ์ของตนเอง ท่านรู้ดีว่าการล้มลงนั้นเป็นอย่างไร มีช่วงเวลาหนึ่งที่ท่านได้ล่วงประเวณีกับภรรยาของเพื่อนคนหนึ่ง จากนั้นเพื่อปกปิดความผิดของท่าน ท่านได้จัดการกับชายผู้ที่ท่านได้ล่อลวงภรรยาของเขามาให้ถึงแก่ความตาย ชั่วขณะหนึ่งท่านได้พยายามซ่อนความบาปของท่านไว้ แต่ด้วยพระเมตตาของพระเจ้า พระองค์ทรงนำทุกอย่างออกมาสู่ความสว่างผ่านงานรับใช้ของผู้เผยพระวจนะนาธาน และโดยการสารภาพบาปและการกลับใจใหม่ ในที่สุดดาวิดก็ได้รับการให้อภัยและได้กลับคืนสู่สภาพดีดังเดิม (ดู 2ซามูเอล บทที่ 11 และ 12)
ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทั้งทางร่างกายและทางอารมณ์ที่ดาวิดต้องเผชิญก่อนที่ท่านจะเต็มใจสารภาพบาปนั้นมีอธิบายไว้อย่างชัดเจนใน สดุดี 32:3–5 (THSV11) ว่า
“เมื่อข้าพระองค์ไม่สารภาพบาป ร่างกายของข้าพระองค์ก็ทรุดโทรมไป โดยการคร่ำครวญวันยังค่ำ พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระองค์ทั้งวันทั้งคืน กำลังของข้าพระองค์ก็เหือดแห้งไปอย่างกับถูกความร้อนในหน้าแล้ง ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์ และข้าพระองค์มิได้ปกปิดความชั่วของข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์ทูลว่า “ข้าพระองค์จะสารภาพการละเมิดของข้าพระองค์ต่อพระยาห์เวห์” แล้วพระองค์ทรงอภัยความบาปชั่วของข้าพระองค์ "
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวลีสุดท้ายในพระวจนะนั้น “พระองค์ทรงอภัย!” อย่าปล่อยให้มารชักชวนให้คุณคิดว่า คุณทำผิดมากเกินไปแล้ว หรือว่าบาปของคุณนั้นร้ายแรงเกินกว่าที่พระเจ้าจะทรงให้อภัยคุณได้ ให้จำไว้ว่า มารคือ “ผู้กล่าวโทษ” ของคริสเตียนทุกคน (ดูวิวรณ์ 12:10) จุดมุ่งหมายของมันคือทำให้เรารู้สึกผิด ไม่คู่ควร และพ่ายแพ้อยู่เสมอ แต่พระเจ้าทรงจัดเตรียมการให้อภัยและการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ไว้สำหรับเราแล้ว
การจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับเรื่องความบาปในชีวิตของผู้เชื่อนั้น ได้รับการเปิดเผยไว้ใน 1 ยอห์น 2:1 (THSV11) โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน กล่าวคือ “ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายเพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป” นี่เป็นส่วนแรกของบทบัญญัติ: “เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป” โดยความเชื่อในพระคุณและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้านั้น มีความเป็นไปได้ที่เราจะดำเนินชีวิตโดยเป็นอิสระจากการครอบงำของบาป (ดูโรม 6:1–14) อย่างไรก็ตาม ยอห์นได้กล่าวต่อไปว่า “และถ้าใครทำบาป เราก็มีผู้ช่วยทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น” นี่เป็นส่วนที่สองของการจัดเตรียมของพระเจ้า กล่าวคือ หากเราทำบาป เราเพียงแต่กลับใจใหม่ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระเยซูคริสต์ผู้ช่วยทูลขอพระบิดาเพื่อเรา พระองค์จะทรงรับเรื่องของเรามาทูลต่อพระบิดาเจ้า และจะทรงนำการให้อภัยและการชำระให้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์มาให้แก่เรา กล่าวคือ “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมจะทรงอภัยบาปของเรา และทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9; THSV11)
เมื่อได้รับการอภัยและชำระให้สะอาดแล้ว เราก็สามารถเริ่มต้นการดำเนินชีวิตคริสเตียนได้อีกครั้ง โดยปราศจากความรู้สึกผิดหรือความรู้สึกด้อยค่าใดๆ เราต้องไม่คำนึงถึงความเชื่อของเรามากกว่าความสัตย์ซื่อของพระเจ้า
“ข้าพเจ้าแน่ใจอย่างนี้ว่าพระองค์ผู้ทรงเริ่มต้นการดีไว้ในพวกท่าน จะทรงทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์” (ฟิลิปปี 1:6; THSV11)
“พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นซื่อสัตย์ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ” (1 เธสะโลนิกา 5:24; THSV11)
คำอธิษฐานของการให้คำมั่นสัญญา
ในเวลานี้ คุณอาจรู้สึกได้ถึงความปรารถนาที่จะผูกพันตัวในความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าอย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น นั่นเป็นความปรารถนาที่ดี และคุณมั่นใจได้เลยว่าพระองค์ทรงต้องการดำเนินไปกับคุณอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นเช่นกัน และเพื่อให้คุณได้แสดงความปรารถนาดังกล่าวออกมาเป็นคำพูด ผมขอเชิญชวนเราปิดท้ายจดหมายคำสอนฉบับนี้ด้วยการอธิษฐานร่วมกัน
*Prayer Response
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความปรารถนาของข้าพระองค์ คือ การที่จะดำเนินชีวิตไปกับพระองค์ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะได้ยินพระองค์ตรัสกับข้าพระองค์ผ่านทางพระคำของพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ และปรารถนาที่จะได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณไปสู่ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์สำหรับชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอให้คำมั่นสัญญาที่จะละทิ้งทัศนคติใดๆ ก็ตามที่ขัดขวางกระบวนการนี้ และจะเข้าหาพระองค์และพระวจนะของพระองค์ด้วยจิตวิญญาณที่อ่อนน้อมถ่อมตนและยอมรับการสอน
ด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ ข้าพระองค์จะทำตามขั้นตอนต่างๆ ที่จำเป็น เพื่อให้ข้าพระองค์เข้าใกล้ชิดพระองค์มากขึ้นในความสัมพันธ์นี้ และเพื่อให้พระวิญญาณของพระองค์ทรงนำในการสามัคคีธรรมและการให้คำแนะนำที่เป็นการส่วนตัวไปสู่ความใกล้ชิดสนิทสนมมากยิ่งขึ้น พระองค์เจ้าข้า หากข้าพระองค์สะดุด ข้าพระองค์ขอบพระคุณที่พระองค์จะทรงพยุงข้าพระองค์ขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เมื่อข้าพระองค์กลับใจใหม่มาหาพระองค์
ขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์จะทรงกระทำให้การดีที่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นไว้ในข้าพระองค์นั้นสำเร็จ พระองค์จะทรงกระทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ข้าพระองค์ชื่นชมยินดีในความสัตย์ซื่อของพระองค์ และขอบพระคุณอย่างยิ่งที่พระองค์จะทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใกล้ชิดพระองค์มากขึ้นและมากขึ้น ในนามของพระเยซู อาเมน

*Free download
*This Teaching Letter is available to download, print and share for personal or church use.
ดาวน์โหลด PDFรหัส: TL-L089-100-THA