ทางออกของการถูกปฏิเสธ

Teaching Legacy Letter
*First Published: 2012
*Last Updated: ธันวาคม 2025
12 min read
ในจดหมายฉบับล่าสุดของผม เราได้พิจารณาคำจำกัดความของการถูกปฏิเสธ ซึ่งนิยามง่ายๆ ก็คือความรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ ความรู้สึกที่ว่าถึงแม้คุณอยากให้คนอื่นรักคุณ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรักคุณ หรือความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม แต่รู้สึกถูกกีดกัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ในแวดวงคริสเตียนเองก็เกิดขึ้นได้
แล้วเราก็พิจารณากันต่อไปว่าพระคัมภีร์ได้ให้ภาพของการถูกปฏิเสธไว้อย่างไร โดยเฉพาะภาพที่น่าสะเทือนใจในพระธรรมอิสยาห์ 54:6 ซึ่งกล่าวถึงหญิงคนหนึ่งที่แต่งงานแล้ว และมีหัวใจที่แตกสลาย
เพราะพระยาห์เวห์ทรงเรียกเจ้าดั่งภรรยาผู้ถูกทอดทิ้งและโทมนัสในวิญญาญจิต คือ ภรรยาที่ยังสาวเมื่อนางถูกทิ้ง" พระเจ้าตรัสดังนี้ (THSV11)
การถูกปฎิเสธสามารถเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ และบางคนอาจตอบสนองต่อการถูกปฏิเสธแตกต่างกันออกไป
ตอนนี้ผมอยากคุยกับคุณเกี่ยวกับคำตอบต่อปัญหาที่เจาะจงของการถูกปฏิเสธ ผมอยากให้คุณดูคำตอบของพระคัมภีร์ที่มีต่อปัญหานี้ และผมอยากบอกคุณว่า - 'มันได้ผลแน่!' เพราะผมได้เห็นชีวิตมากมายที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงชั่วคราว ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเพียงผิวเผิน แต่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ทุกทางออกที่พระเจ้าทรงมีต่อทุกปัญหาในชีวิตของเราล้วนแล้วแต่มาจากไม้กางเขนทั้งสิ้น ไม้กางเขนเป็นที่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมวิธีการแก้ไขให้กับปัญหาทั้งหมดของเรา และพระเยซูได้ทรงจัดการกับปัญหาที่เจาะจงอย่างการถูกปฏิเสธแล้วบนไม้กางเขน
เมื่อหลายปีก่อน (อันที่จริงแล้วในปี ค.ศ. 1943) องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสกับผมผ่านของประทานแห่งพระวิญญาณว่า ผมจะต้องพิจารณาถึงเรื่องพระราชกิจที่กลโกธา ว่าเป็นพระราชกิจที่สมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบทุกประการ สมบูรณ์แบบในทุกด้าน ผมใช้เวลาหลายสิบปีในการพิจารณาเรื่องพระราชกิจที่กลโกธา คือสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำบนไม้กางเขน และทุกครั้งที่ผมคิดว่าผมรู้ทุกอย่างแล้ว ผมก็ค้นพบสิ่งใหม่ๆ
การแลกเปลี่ยน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสำแดงหลักการพื้นฐานประการหนึ่งเกี่ยวกับไม้กางเขนแก่ผม นั่นคือ การแลกเปลี่ยน เป็นการแลกเปลี่ยนที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ที่บนไม้กางเขน เพื่อให้เรื่องของความยุติธรรมของพระเจ้าอันเป็นนิรันดร์ สำเร็จสมความปรารถนาของพระองค์ที่บนไม้กางเขน ดังนั้นพระเจ้าจำต้องบันดาลให้สิ่งชั่วร้ายทั้งปวงที่มนุษยชาติสมควรจะได้รับตามหลักการของความยุติธรรมมาอยู่บนพระเยซูแทน เพื่อว่าโดยความเชื่อ ผู้ที่กลับใจและเชื่อจะได้รับสิ่งดีทั้งสิ้นที่พระเยซูสมควรได้รับตามความยุติธรรมของพระองค์ พระเยซูทรงได้รับสิ่งชั่วร้ายเพื่อเราจะได้รับสิ่งดี นี่เป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก และเป็นพื้นฐานมาก แต่เมื่อคุณเริ่มเข้าใจสิ่งนี้แล้ว มันก็จะเปิดหนทางแห่งพระพรอันไม่มีที่สิ้นสุดให้กับจิตวิญญาณของคุณเอง
พระเจ้าทรงบันดาลให้สิ่งชั่วร้ายทั้งปวงมาอยู่บนพระเยซู เพื่อเราจะได้รับสิ่งดีทั้งปวง และยิ่งผมคิดใคร่ครวญกับเรื่องนี้นานเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งเห็นว่าการแลกเปลี่ยนนั้นสมบูรณ์แบบมากขึ้นเท่านั้น และนี่เป็นเพียงมุมมองบางส่วนของการแลกเปลี่ยนที่ว่านี้:
“พระเยซูทรงถูกลงโทษเพราะความบาปของเรา เพื่อที่เราจะได้รับการอภัย พระเยซูทรงบาดเจ็บเพราะความเจ็บป่วยของเรา เพื่อเราจะได้รับการรักษาให้หาย พระเยซูทรงเจ็บป่วยเพื่อให้เรามีสุขภาพดี พระเยซูทรงยากจนเพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้รับความมั่งมีของพระองค์ พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์เพราะความตายของเรา เพื่อเราจะได้รับชีวิตของพระองค์”
ในขณะที่ผมกำลังใคร่ครวญเรื่องนี้ พระเจ้าทรงตรัสกับผมว่า "ยังมีอีกด้านหนึ่งของการแลกเปลี่ยนนั้น แล้วการถูกปฏิเสธล่ะ?" ในอิสยาห์ 53:3 กล่าวว่า:
“ท่านถูกดูหมิ่นและถูกทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความทุกข์ยาก” (THSV11)
เป็นเวลาสามปีครึ่งที่พระเยซูทรงอุทิศพระชนม์ชีพของพระองค์ทั้งสิ้นให้กับการกระทำความดี คือ การอภัยบาป การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และการปลดปล่อยผู้ที่ถูกมารกดขี่ พระองค์ไม่ได้ทรงทำสิ่งใดเลยนอกจากความดี เมื่อสิ้นสุดช่วงเวลานั้น ผู้ปกครองชาวโรมันได้ให้ชนชาติของพระองค์ซึ่งเป็นชนชาติยิวเลือกว่าพวกเขาต้องการผู้ใด ระหว่างพระเยซูชาวนาซาเร็ธ หรืออาชญากรชื่อบารับบัส ซึ่งมีความผิดฐานกบฏทางการเมือง การปล้น และการฆาตกรรม ด้วยการตัดสินใจที่น่าเหลือเชื่อและน่าสลดใจที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ คนทั้งชาติที่ถูกยุยงโดยผู้นำศาสนาของพวกเขาได้ปฏิเสธพระเยซู และได้เลือกบารับบัสซึ่งเป็นผู้กบฏทางการเมืองแทน
พวกเขากล่าวว่า “เอาพระเยซูไปให้พ้น ตรึงพระองค์ที่ไม้กางเขน! เราไม่ต้องการพระองค์! เราเลือกบารับบัส ผู้ที่เป็นขโมยและโจร” พระเยซูทรงตอบสนองอย่างไร? พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระบิดาเพื่อทรงให้อภัยผู้ที่ตรึงพระองค์บนไม้กางเขน พระองค์มิได้ทรงกังวลถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับพระองค์ แต่พระองค์ทรงกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ตัวอย่างอันน่าอัศจรรย์ของพระเยซูคือ แม้พระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานและถูกปฏิเสธ แต่พระองค์มิได้ทรงห่วงใยตัวของพระองค์เอง แต่กลับทรงห่วงใยผู้ที่ปฏิเสธพระองค์ ช่างเป็นแบบอย่างอะไรเช่นนี้!
เมื่อผมพิเคราะห์เรื่องการแลกเปลี่ยนของพระเยซูบนไม้กางเขนในแง่ของปัญหาการถูกปฏิเสธ ผมได้ตระหนักถึงบางสิ่งที่น่าตกใจคือ แม้ว่าพระองค์ทรงถูกมนุษย์ปฏิเสธก็ตาม แต่ความทุกข์ทรมานครั้งสุดท้ายของพระเยซูบนไม้กางเขนคือ การถูกปฏิเสธโดยพระบิดาของพระองค์ เมื่อคุณอ่านเรื่องราวนี้มาจนใกล้ถึงตอนจบของประสบการณ์อันเลวร้ายของพระองค์นั้น พระองค์ทรงตรัสว่า:
“พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” (มัทธิว 27:46 - THSV11)
และไม่มีคำตอบจากสวรรค์ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของจักรวาลที่พระบิดาทรงปิดพระกรรณ์ต่อเสียงร้องของพระบุตร แล้วพระเยซูก็ได้ทรงตระหนักว่าพระบิดาได้ทรงปฏิเสธพระองค์ เหตุใดพระบิดาจึงทรงปฏิเสธพระเยซู? พระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้านั้นทรง:
“...พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินที่จะทอดพระเนตรการชั่ว [หรือความอยุติธรรม]” (ฮาบากุก 1:13 - THSV11)
เมื่อพระเยซูทรงถูกทำให้บาปด้วยความบาปของเรา พระเจ้าทรงเบนสายพระเนตรและทรงปิดพระกรรณของพระองค์ต่อเสียงร้องของพระบุตรของพระองค์
หลังจากนั้น มีเสียงร้องอีกเพียงครั้งเดียวที่ดังออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเยซู แล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ ผมเชื่อว่ามันถูกต้องจริงๆ ว่า พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ก็เพราะพระทัยที่แตกสลาย สิ่งที่ทำให้พระทัยของพระองค์แตกสลายนั้น ไม่ใช่การถูกปฏิเสธโดยคนของพระองค์เอง แต่เป็นการถูกปฏิเสธโดยพระบิดา
สำหรับทุกคนที่อ่านบทความนี้ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกปฏิเสธ ผมอยากบอกคุณตอนนี้ว่า พระเยซูทรงประสบกับความเจ็บปวดที่ลึกที่สุดของการถูกปฏิเสธ แม้กระทั่งการถูกพระบิดาของพระองค์ปฏิเสธ และพระองค์ทรงแบกรับมันไว้เพื่อคุณ เพื่อให้คุณได้รับการช่วยกู้ หากจะมีข่าวดีอะไรสำหรับคนในรุ่นนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องนี้นี่เอง
การเป็นที่ยอมรับ
สิ่งที่ตรงกันข้ามกับการถูกปฏิเสธคืออะไร? ก็คือ การได้รับการยอมรับนั่นเอง ผมชอบพระธรรมเอเฟซัส 1:6 (ฉบับคิงเจมส์ใหม่ - ภาษาอังกฤษ) เพราะพระคัมภีร์ฉบับนี้กล่าวว่า พระเจ้าได้ทรง "ทำให้เราเป็นที่ยอมรับในผู้ทรงเป็นที่รักของพระองค์" พระเยซู ผู้ทรงเป็นพระบุตรที่แท้จริง และพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าได้ทรงถูกปฏิเสธ เพื่อเราผู้ที่ไม่คู่ควรเพราะการเป็นกบฎของเรานั้น จะได้รับการยอมรับจากพระบิดา ดังนั้น วิธีแก้ไขที่ลึกที่สุดสำหรับปัญหาของเราคือ การเชื่อว่าพระเยซูได้ทรงแบกรับการถูกปฏิเสธของเรา เพื่อเราจะได้รับการยอมรับของพระองค์จากพระบิดา
บางครั้งอาจมีปัญหาที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ทางโลกที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่พี่น้องครับ แม้ว่าจะไม่มีใครต้องการคุณ ไม่มีใครรักคุณ พ่อแม่ของคุณอาจจะยังไม่ได้แต่งงานกันด้วยซ้ำไป ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อคุณมาหาพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ คุณจะกลายเป็นสมาชิกของครอบครัวที่ดีที่สุดในจักรวาล และพระเจ้าไม่มีลูกที่เป็นชนชั้นสอง
ครอบครัวของพระเจ้าเป็นครอบครัวที่ดีที่สุด ไม่มีครอบครัวใดที่เทียบเท่าได้กับครอบครัวของพระเจ้า แม้ว่าครอบครัวของคุณจะไม่ได้สนใจคุณ หรือพ่อของคุณปฏิเสธคุณ หรือแม่ของคุณไม่เคยมีเวลาให้คุณ หรือสามีของคุณไม่เคยแสดงความรักต่อคุณก็ตาม แต่พระเจ้ายังคงต้องการคุณ คุณได้รับการยอมรับแล้ว คุณเป็นจุดมุ่งหมายของการเอาใจใส่และความรักที่พิเศษของพระองค์ คุณเป็นจุดศูนย์กลางของทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำในจักรวาลนี้
เมื่อพระเจ้าทรงตรัสว่าเราเป็นที่ยอมรับนั้น พระองค์ไม่ได้หมายความว่าพระองค์เพียงแค่ยอมอดทนกับเราเท่านั้น ฉะนั้นอย่าสร้างความรำคาญให้กับพระองค์ อย่าทำให้พระองค์เสียพระทัย หรืออย่ารบกวนพระองค์ แท้จริงแล้ว เราไม่เคยใช้เวลาของพระองค์มากเกินไปเลย แต่สิ่งเดียวที่ทำให้พระองค์เสียพระทัยก็คือ ตอนที่เราอยู่ห่างจากพระองค์นานเกินไปต่างหาก
พระเจ้ามิได้ทรงผลักเราเข้ามุมแล้วตรัสว่า “รอก่อน เรากำลังยุ่งเหลือเกิน เราไม่มีเวลาสำหรับเจ้า” ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงตรัสว่า “เราสนใจในตัวเจ้า เราต้องการเจ้า เรายินดีต้อนรับเจ้าที่นี่ เข้ามาเถิด เราเฝ้ารอเจ้ามานานแล้ว”
เช่นเดียวกับพ่อในเรื่องราวของบุตรน้อยหลงหาย (ดูลูกา 15:11–32) พ่อนั้นออกไปเฝ้ามองหาลูกชายที่จะกลับมาบ้าน ไม่จำเป็นต้องมีใครมาบอกพ่อคนนั้นว่า “ลูกของท่านกลับมาบ้านแล้ว” เพราะคนแรกที่รู้ก็คือพ่อนั่นเอง เขารู้เรื่องนี้ก่อนที่ทุกคนในครอบครัวจะรู้เสียอีก
ทัศนคติของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราในพระคริสต์ก็เป็นเช่นนั้น เราไม่ได้ถูกปฏิเสธ เราไม่ใช่พลเมืองชั้นสอง เราไม่ใช่แค่คนรับใช้ เมื่อบุตรน้อยหลงหายกลับมา เขาเต็มใจที่จะเป็นแค่คนรับใช้ แต่พ่อกลับไม่ยอม ตรงกันข้ามพ่อกลับพูดว่า “จงเอาเสื้อคลุมที่ดีที่สุดออกมา ใส่รองเท้าบนเท้าของเขา สวมแหวนบนนิ้วของเขา จงฆ่าลูกวัวตัวอ้วนพีเถิด! ลูกชายของฉันคนนี้หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก ตายแล้วแต่กลับเป็นขึ้นมาอีก” ทั้งครัวเรือนต่างยุ่งอยู่กับการเตรียมต้อนรับเขากลับบ้าน
ในทำนองเดียวกัน พระเยซูตรัสว่า:
“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีในสวรรค์เรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่ มากกว่าเรื่องคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ยอมกลับใจ” (ลูกา 15:7 - THSV11)
นั่นคือวิธีที่พระเจ้าทรงต้อนรับเราในพระคริสต์
เราต้องเข้าใจข้อเท็จจริงพื้นฐานสองประการนี้คือ:
- พระคริสต์ได้ทรงแบกรับการถูกปฏิเสธของเราไว้บนไม้กางเขน คือ ความทุกข์ทรมานและความปวดร้าวใจทั้งสิ้น
- มีการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นคือ เมื่อเราได้รับการยอมรับเนื่องด้วยการถูกปฏิเสธของพระองค์ เราก็ “ได้รับการยอมรับในพระองค์ผู้ทรงเป็นที่รัก”
บางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากไปกว่าการยึดมั่นในข้อเท็จจริงทั้งสองนี้เพื่อเอาชนะการถูกปฏิเสธ ในการประชุมครั้งหนึ่งที่จัดขึ้นเมื่อสองสามปีก่อน ขณะที่ผมกำลังรีบจะไปเทศนา และบังเอิญไปเจอกับหญิงคนหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่ง เธอหายใจหอบและพูดว่า “โอ้ อาจารย์ปริ๊นซ์! ดิฉันกำลังอธิษฐานว่า ถ้าพระเจ้าต้องการให้ดิฉันพบกับอาจารย์ เราก็จะได้พบกัน”
“เอาล่ะ” ผมพูดว่า “เราได้เจอกันแล้ว มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ? ผมให้เวลาคุณได้ประมาณสองนาที ผมกำลังจะขึ้นเทศนาแล้ว”
เธอเริ่มต้นพูด และหลังจากนั้นประมาณครึ่งนาที ผมก็พูดว่า "เดี๋ยวก่อน" ผมรู้ปัญหาของคุณแล้ว ผมไม่ต้องการข้อเท็จจริงอะไรอีก ปัญหาของคุณคือ การถูกปฏิเสธ” ผมบอกเธอว่า “ผมอยากให้คุณพูดคำเหล่านี้ออกมาดังๆ ตามผม” ผมจึงนำเธอกล่าวคำประกาศซึ่งเธอได้พูดตาม ผมจำคำพูดที่แน่ชัดไม่ได้ แต่เป็นคำพูดประมาณนี้คือ “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบคุณที่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ และข้าพระองค์เป็นลูกของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า สวรรค์คือบ้านของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ข้าพระองค์ไม่ได้ถูกปฏิเสธ ข้าพระองค์ได้รับการยอมรับ พระเจ้าทรงรักข้าพระองค์ พระองค์ทรงต้องการข้าพระองค์ พระองค์ทรงห่วงใยข้าพระองค์” แล้วผมก็พูดว่า "อาเมน" และ "ลาก่อน ผมต้องไปแล้ว" แล้วก็จากเธอไป
ประมาณหนึ่งเดือนต่อมา ผมได้รับจดหมายจากบุคคลคนเดียวกันนั้น ซึ่งเธอบอกว่า "ดิฉันอยากจะบอกอาจารย์ว่าสองนาทีที่อาจารย์ใช้เวลากับดิฉัน และคำพูดเหล่านั้นที่ดิฉันพูดไป ได้เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของดิฉันไปอย่างสิ้นเชิง ดิฉันเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา” ทำไมเธอถึงได้แตกต่าง? เพราะเธอได้ตระหนักว่า การเป็นที่ยอมรับในพระคริสต์นั้นหมายความว่าอย่างไร
สี่ขั้นตอน
สำหรับหลายๆ คน การประกาศง่ายๆ ว่าตนได้รับการยอมรับในพระคริสต์ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว แต่สำหรับคนอื่นนั้นอาจต้องทำมากกว่านี้ ดังนั้นผมจะอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับขั้นตอนง่ายๆ ที่คุณต้องทำหากคุณประสบกับปัญหาการถูกปฏิเสธ ผมเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสำแดงให้คุณเห็นว่าคุณเป็นเช่นนั้นหรือไม่
1. ยกโทษให้ผู้ที่ปฏิเสธคุณ
นี่เป็นสิ่งจำเป็น คุณอาจจะพูดว่า “ก็พ่อของฉันตายแล้ว” เพราะมีคนพูดกับผมอย่างนี้หลายต่อหลายครั้ง และทุกครั้งผมก็ตอบไปว่า “นั่นไม่สำคัญ เพราะที่คุณให้อภัย คุณไม่ได้ทำไปเพราะเห็นแก่พ่อของคุณ แต่ทำไปก็เพื่อประโยชน์ของคุณเอง"
ผมรู้จักชายหนุ่มคริสเตียนที่ดีคนหนึ่งที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาตระหนักว่าเป็นเวลาหลายปีที่เขาต้องแบกรับความขมขื่น ความขุ่นเคือง ความโกรธ และการกบฏต่อพ่อของเขาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เขาได้พาภรรยาเดินทางเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ไปยังสุสานที่ฝังศพพ่อของเขา เขาได้ละภรรยาไว้ในรถ ส่วนเขาเดินไปที่หลุมศพพ่อตามลำพัง เขาคุกเข่าลงที่นั่นและใช้เวลาหลายชั่วโมงถัดมาเพื่อขจัดทัศนคติที่เป็นพิษทั้งหมดของเขา เขาไม่ได้ลุกขึ้นจนกว่าเขาจะรู้แน่ว่าเขาได้ยกโทษให้พ่อแล้ว เมื่อเขาเดินออกจากสุสานนั้น เขาก็กลายเป็นคนละคน ปัจจุบันภรรยาของเขาเป็นพยานว่า เธอได้สามีคนใหม่กลับมา พ่อของเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ความขุ่นเคืองของเขาเองยังคงอยู่
การให้อภัยนั้นไม่ใช่การกระทำเพื่อประโยชน์ของผู้ที่ตายไปแล้วหรือผู้ที่อยู่ห่างไกล แต่เพื่อให้ความสัมพันธ์ของคุณที่เรากำลังพูดถึงนั้นจบลง คุณต้องให้อภัยเพื่อตัวของคุณเอง ผมขอให้คุณนึกถึงบางสิ่งที่ผมได้พูดไปหลายครั้งแล้วก็คือ การให้อภัยไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ความรู้สึก แต่มันคือการตัดสินใจ อย่าพูดว่า “ฉันทำไม่ได้หรอก” หากพูดกันตามจริงมันคือ "ฉันจะไม่ (ให้อภัย)" หากคุณสามารถพูดได้ว่า “ฉันจะไม่ (ให้อภัย)” คุณก็สามารถพูดได้ว่า “ฉันจะ (ให้อภัย)” เช่นกัน
ประการแรก คุณต้องให้อภัยทุกคนที่คุณรู้สึกว่าเขาปฏิเสธคุณ
2. วางความขมขื่น ความขุ่นเคือง ความเกลียดชัง และการกบฏลง
นี่คือปฏิกิริยาสี่ประการที่มักมาพร้อมกับการถูกปฏิเสธที่ฝังลึก
3. ยอมรับความจริงที่ว่า คุณเป็นที่ยอมรับแล้วในพระคริสต์ และพระเจ้าทรงยอมรับคุณ
ผมขอย้ำอีกครั้งว่านี่ไม่ได้หมายความว่า พระองค์เพียงแค่ยอมอดทนต่อคุณเท่านั้น แต่พระองค์ทรงรักคุณ พระองค์ทรงสนใจคุณ พระองค์ทรงห่วงใยคุณ ผมไม่ทราบแน่ว่าผมได้บอกสิ่งนี้กับคนหนุ่มสาวไปกี่คนแล้ว และได้เห็นใบหน้าของพวกเขาเปล่งประกายขึ้นเหมือนที่ผมเคยเป็น
4. ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำ และอย่าลืมสิ่งนี้คือ คุณจะต้องยอมรับตัวเอง
บางครั้งนี่อาจเป็นส่วนที่ยากที่สุด ผมบอกกับลูกๆ ของพระเจ้าว่าอย่าดูถูกตัวเอง และอย่าวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง เพราะคุณเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า
“สิ่งถูกปั้นจะกล่าวแก่ผู้ปั้นได้หรือว่า “ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าอย่างนี้?”’ (โรม 9:20 - THSV11)
ไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะวิพากษ์วิจารณ์ พระเจ้าทรงรู้ว่าพระองค์ทรงกำลังทำอะไรอยู่ ขอเพียงวางใจพระองค์ ในฐานะคริสเตียน การวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจแต่เป็นการกบฏ อย่าได้ดูถูกตัวเอง คุณคือฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงอุทิศเวลามากที่สุดและใส่พระทัยมากกว่าทุกสิ่งที่พระองค์เคยทรงสร้างมาในจักรวาลนี้ คุณคือผู้ที่พระเจ้าทรงให้ความสำคัญและความสนใจเป็นอันดับแรก หากนั่นไม่ทำให้คุณรู้สึกดี ผมก็ไม่รู้แล้วว่าอะไรจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้
รับการปลดปล่อย
เมื่อเราได้ดูแง่มุมต่างๆ ของการถูกปฏิเสธแล้ว ผมอยากเชิญชวนคุณให้ปลดปล่อยตัวเองจากการถูกปฏิเสธนั้น บางทีนี่อาจเป็นพื้นที่ในชีวิตของคุณที่คุณไม่เคยเผชิญมาก่อน และตอนนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงเปิดเผยบางสิ่งที่จิตใจของคุณปฏิเสธที่จะรับรู้มาโดยตลอด หากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงให้คุณเห็นว่าคุณต้องได้รับการปลดปล่อยจากการถูกปฏิเสธ และคุณอยากจะลงมือปฏิบัติจริง ผมขอแนะนำให้คุณพูดคำประกาศต่อไปนี้ออกมาดังๆ และในขณะที่คุณกำลังประกาศคำเหล่านี้ หากคุณเริ่มสะอื้นหรือร้องไห้ อย่าปิดกั้นสิ่งนั้นเอาไว้! เพราะถึงคุณจะมีเงินเป็นพันดอลล่าร์ คุณก็ไม่สามารถหาซื้อประสบการณ์แบบนี้ได้อีกแล้ว
*Prayer Response
พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ขอให้อภัย ข้าพระองค์ขอวางความขมขื่น ความขุ่นเคือง ความเกลียดชัง และการกบฏลง ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพระองค์ได้รับการยอมรับแล้วในพระคริสต์ ข้าพระองค์เป็นลูกของพระเจ้า สวรรค์คือบ้านของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่ดีที่สุดในจักรวาล ข้าพระองค์เป็นเชื้อสายในพระราชวงศ์ของพระองค์
ข้าแต่พระเยซูคริสต์ ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และเป็นหนทางเดียวที่จะไปถึงพระเจ้า พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อบาปของข้าพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายอีกครั้ง ข้าพระองค์ขอกลับใจจากบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ขอให้อภัยคนทุกคน เหมือนที่ข้าพระองค์อยากให้พระองค์ทรงให้อภัยข้าพระองค์ ทุกคนที่ปฏิเสธและทำให้ข้าพระองค์เจ็บปวด และไม่ได้แสดงความรักต่อข้าพระองค์ พระองค์เจ้าข้า บัดนี้ข้าพระองค์ขอให้อภัยพวกเขาทั้งหมด
ข้าพระองค์วางใจในพระองค์สำหรับการให้อภัยของพระองค์ และข้าพระองค์เชื่อว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยอมรับข้าพระองค์แล้วในเวลานี้ เพราะข้าพระองค์อยู่ในพระคริสต์ ข้าพระองค์ได้รับการยอมรับ ข้าพระองค์ได้รับความโปรดปรานอย่างสูง ข้าพระองค์เป็นจุดมุ่งหมายของการดูแลอันพิเศษของพระองค์ พระองค์ทรงรักข้าพระองค์จริงๆ พระองค์ทรงต้องการข้าพระองค์ พระองค์คือพระบิดาของข้าพระองค์ พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์อยากขอบพระคุณพระองค์
และข้าพระองค์อยากจะบอกพระองค์ด้วยว่า ข้าพระองค์ยอมรับตัวของข้าพระองค์เองในพระคริสต์ ในแบบที่พระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์มา ข้าพระองค์เป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์สำหรับสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์ได้ทรงเริ่มต้นการดีแล้ว และจะทรงกระทำต่อไปจนถึงวันแห่งพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ข้าพระองค์ขอปลดปล่อยตัวข้าพระองค์เองจากความกดดันอันมืดมนและชั่วร้าย ข้าพระองค์ขอปลดปล่อยจิตวิญญาณของข้าพระองค์ให้ชื่นชมยินดีในพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

*Free download
*This Teaching Letter is available to download, print and share for personal or church use.
ดาวน์โหลด PDFรหัส: TL-L085-100-THA