จิตใจชอกช้ำใครจะทนได้เล่า?

Teaching Legacy Letter
*First Published: 2012
*Last Updated: ธันวาคม 2025
15 min read
“จิตใจชอกช้ำใครจะทนได้เล่า?” (สุภาษิต 18:14 – THSV11)
ในบทความนี้ ผมอยากจะสำรวจปัญหาที่เจาะจงปัญหาหนึ่ง ซึ่งในความคิดของผมแล้ว มันส่งผลกระทบต่อคนหลายล้านคนในสหรัฐอเมริกา รวมถึงคนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนทั่วโลก ผลจากการทำพันธกิจของผมตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผมเชื่อมั่นว่า 1 ใน 5 คนในสหรัฐอเมริกาอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาการถูกปฏิเสธไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การถูกปฏิเสธนั้นนิยามง่ายๆ ก็คือ ความรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ ความรู้สึกที่ว่าแม้คุณอยากให้คนอื่นรักคุณ แต่ก็ไม่มีใครรัก หรือต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม แต่ก็รู้สึกถูกกีดกัน — ได้แต่มองจากภายนอกเข้าไปในกลุ่มอยู่เสมอ ผมเชื่อว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานกับปัญหานี้ในปัจจุบันก็คือ การสร้างสังคมของเราและความกดดันจากสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกแยกของชีวิตครอบครัว
หากผมถามคุณว่า “สิ่งที่ตรงกันข้ามกับการถูกปฏิเสธคืออะไร?” คุณอาจจะตอบว่า “การได้รับการยอมรับ” ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ในบทความนี้และบทความถัดไป เราจะมุ่งความสนใจไปยังวิธีก้าวจากการถูกปฏิเสธไปสู่การได้รับการยอมรับ
เราจะเริ่มต้นการศึกษาจากภาพของการถูกปฏิเสธที่พบใน อิสยาห์ 54:6 นี่เป็นภาพที่แสนเจ็บปวดของหญิงคนหนึ่งที่แต่งงานแล้วและมีหัวใจที่แตกสลาย
“เพราะพระยาห์เวห์ทรงเรียกเจ้า ดั่งภรรยาผู้ถูกทอดทิ้งและโทมนัสในวิญญาณจิต คือภรรยาที่ยังสาวเมื่อนางถูกทิ้ง” พระเจ้าของเจ้าตรัสดังนี้” (THSV11)
ภาพนี้เป็นภาพของหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานซึ่งพบว่าสามีไม่ได้รักเธอ บางทีเขาอาจจะไม่มีเวลาให้เธอหรือไม่สนใจเธอ หรือบางทีเขาอาจจะเตรียมหย่ากับเธอเพื่อหาภรรยาใหม่ก็เป็นได้ พระคัมภีร์อธิบายว่าเธอ “ถูกทอดทิ้งและโศกเศร้าในจิตวิญญาณ”
มีบาดแผลชนิดหนึ่งที่ยากจะทนได้ ซึ่งสุภาษิต 18:14 ได้อธิบายบาดแผลขนิดนี้ไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า
“จิตใจของคนทนต่อความเจ็บป่วยได้ แต่จิตใจที่ชอกช้ำใครจะทนได้เล่า” (THSV11)
เห็นได้ชัดว่าหญิงคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากบาดแผลภายในจิตวิญญาณของเธอ
เราสามารถทนต่อการบาดเจ็บทางร่างกายได้ แต่จิตวิญญาณที่บาดเจ็บนั้นเป็นความทุกข์ทรมานที่เกินกว่าจะทนได้
ลึกกว่าที่เราตระหนัก
1 โครินธิ์ 2:11 ยังกล่าวไว้ด้วยว่า
“อันความคิดของมนุษย์นั้น จะมีใครหยั่งรู้ได้ถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์คนนั้นเอง พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน” (THSV11)
จิตวิญญาณของคนๆ หนึ่ง มีความล้ำลึกมากกว่าความเข้าใจทางจิตใจ หรือความสามารถด้านความทรงจำ และด้านการใช้เหตุผล และจิตวิญญาณนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวคุณ จิตใจของคุณไม่ได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวคุณ มีหลายอย่างเกี่ยวกับตัวคุณที่จิตใจยังไม่ได้ค้นพบ เป็นไปได้มากทีเดียวที่คุณอาจจะมีบาดแผลเป็นระยะเวลาหลายปีโดยที่จิตใจไม่เคยรู้มาก่อนเลย ผมเชื่อว่าสิ่งนี้สามารถได้รับการยืนยันจากข้อสังเกตดังต่อไปนี้
คุณเคยสังเกตไหมว่า ขณะที่บางคนกำลังรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น แม้แต่ชายที่เข้มแข็งและเชื่อมั่นในตัวเอง เขาก็อาจจะควบคุมตนเองไม่ได้และเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ผมเคยเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว และเมื่อผมเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ผมก็จะพูดว่า "บัดนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้แตะต้องลึกเข้าไปจิตวิญญาณของคนๆ นั้นแล้ว และพระองค์กำลังแก้ปมต่างๆ ที่ถูกผูกมัดไว้อยู่ภายในตัวเขามาเป็นเวลานาน ไม่มีใครสามารถแก้ปมนั้นได้นอกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ครั้งหนึ่งขณะที่ผมกำลังอธิษฐานกับชายหนุ่มคนหนึ่งและสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับเขา แม้ว่าเขาจะได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์มาแล้วก็ตาม แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพิ่งจะตอบสนองต่อความต้องการที่อยู่ส่วนลึกในชีวิตของเขา โดยธรรมชาติแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างจะควบคุมตนเองได้ดีและมีท่าทางที่สงบเยือกเย็น แต่เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสัมผัสปัญหานี้ที่เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเขา เขาก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กเล็กๆ ผมพูดกับเขาว่า นี่แน่ะ! อย่ากลั้นน้ำตาไว้อีกเลย “อย่าพยายามควบคุมตนเองอีกต่อไป ปล่อยให้มันไหลออกมาเถิด เพราะคุณไม่สามารถซื้อช่วงเวลาแบบนี้ได้ด้วยเงินหนึ่งพันดอลลาร์หรอก มันล้ำค่าจริงๆ”
เรื่องราวทั้งหมดที่ผมแบ่งปันมานี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า มีพื้นที่ที่อยู่ลึกลงไปภายในตัวคุณที่จิตใจของคุณไม่รู้ บางครั้งจิตใจอาจจะปฏิเสธที่จะเผชิญกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพื้นที่นั้นภายในตัวคุณ นักจิตวิทยาและจิตแพทย์ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า มีบาดแผลบางอย่างซึ่งเจ็บปวดจนจิตใจปฏิเสธที่จะมุ่งความสนใจไปกับสิ่งนั้น จิตใจแค่เมินเฉยต่อสิ่งนั้น อย่างไรก็ตามบาดแผลยังคงอยู่ที่นั่น มันอยู่ลึกกว่าจิตใจ ลึกกว่าการใช้เหตุผล ลึกกว่าความทรงจำ มันอยู่ในจิตวิญญาณ
บ่อยครั้งที่การถูกปฏิเสธอยู่ลึกเข้าไปในพื้นที่ส่วนที่เรียกว่าจิตวิญญาณ และบ่อยครั้งเพราะการถูกปฏิเสธนั้นอยู่ลึกมาก ผู้คนจึงไม่ตระหนักว่าปัญหาของพวกเขาคือ การถูกปฏิเสธ
การถูกปฏิเสธเริ่มต้นอย่างไร
ให้เรามาพิจารณาบางตัวอย่างว่า การถูกปฏิเสธนั้นอาจเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยคำนึงเสมอว่าการถูกปฏิเสธนั้นมีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน
ผมจำกรณีของหญิงคนหนึ่งได้โดยเฉพาะ เธออาศัยอยู่ในฟลอริดา เย็นวันหนึ่งขณะที่ผมไปเยี่ยมบ้านของหญิงคนนี้ ผมได้ทำบางสิ่งที่ผมไม่ค่อยได้ทำคือ ผมพูดกับเธอตรงๆ ว่า "คุณครับ หากสิ่งที่ผมคิดถูกต้อง คุณมีวิญญาณแห่งความตายอยู่ภายในตัวคุณ" ผมแทบจะไม่ค่อยได้พูดลักษณะนี้เลยเพราะมันอาจทำให้เกิดปัญหายุ่งยากขึ้นได้ แต่ผมเสี่ยงที่จะบอกกับเธอ เพราะเห็นได้ชัดว่าเธอต้องการความช่วยเหลือ หญิงคนนี้มีเหตุผลทุกประการที่จะทำให้เธอมีความสุข แต่ก็ไม่เคยมีความสุขเลย เธอมีสามีและลูกที่ดี แต่ไม่เคยมีความชื่นชมยินดี ผมจึงบอกเธอว่า "ผมจะมีประชุมการปลดปล่อยในคืนวันศุกร์นี้ ถ้าคุณจะมาผมจะอธิษฐานเผื่อคุณ"
เมื่อคืนที่นัดหมายมาถึง หญิงผู้นี้ได้มาในที่ประชุม และขณะที่ผมเริ่มการอธิษฐานปลดปล่อยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมนั้น เธอกำลังนั่งอยู่แถวหน้า และเป็นอีกครั้งที่ผมทำในสิ่งที่ปกติแล้วผมจะไม่ทำ คือ เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งระหว่างการประชุม ผมเดินไปหาเธอแล้วพูดว่า "เจ้าวิญญาณแห่งความตาย ในพระนามของพระเยซู เจ้าจงตอบฉันมาว่า เจ้าเข้ามาในหญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?"
แล้วเจ้าวิญญาณนั้น ซึ่งไม่ใช่ตัวของหญิงคนนั้น ก็ตอบอย่างชัดเจนว่า "โอ้ เราเข้ามาเมื่อเธออายุได้สองขวบ"
"เจ้าเข้ามาในหญิงคนนี้ได้อย่างไร" ผมถาม
มันตอบว่า "โอ เธอรู้สึกถูกปฏิเสธ เธอรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ เธอรู้สึกเหงา"
ผมคิดกับตัวเองว่า มันเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจมากว่าการรู้สึกถูกปฏิเสธได้เข้ามาในหญิงคนนี้ตั้งแต่เธออายุได้เพียงสองขวบเท่านั้น
เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเข้าใจปัญหาของผู้คนในด้านหนึ่งจริงๆ เพราะผมค้นพบว่าการถูกปฏิเสธสามารถเริ่มต้นได้ก่อนที่เด็กจะเกิดมาเสียอีก ผมสามารถให้รายชื่อของบุคคลที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงซึ่งจะเป็นพยานได้ว่าเรื่องนี้เป็นจริงในชีวิตชองพวกเขา ถ้าหญิงคนหนึ่งอุ้มท้องเด็กซึ่งเธอไม่พอใจที่จะให้เกิดมา บ่อยครั้งที่เด็กคนนั้นมักจะเกิดมาพร้อมกับวิญญาณการถูกปฏิเสธ
เหยื่ออันแสนเปราะบาง
ตัวอย่างของการถูกปฏิเสธประเภทนี้นั้นพบได้แพร่หลาย ในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีช่วงอายุหนึ่งที่เจาะจง นั่นก็คือเด็กที่แม่ตั้งครรภ์ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (หรือ The Great Depression) ทำไมน่ะหรือ? เพราะหลายครอบครัวจำเป็นต้องหาเลี้ยงปากท้องของสมาชิกในครอบครัวหลายคนอยู่แล้ว และความคิดที่ว่ากำลังจะมีอีกหนึ่งชีวิตเกิดมาในโลก ทำให้เกิดความรู้สึกขมขื่นว่า "ทำไมเราถึงต้องมีลูกเพิ่มมาอีกคนด้วย?"
ปัญหาอย่างเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นกับเด็กที่แม่ตั้งครรภ์นอกสมรส ส่วนมากแล้วในการถูกปฏิเสธประเภทนี้ ปัญหาหลายๆ อย่างจะมีความเกี่ยวข้องกับแม่ของเด็ก แม่อาจจะขุ่นเคืองหรือแม้แต่เกลียดชังเด็กคนนี้ซึ่งกำลังจะเข้ามาในชีวิตของเธอและสร้างปัญหาให้กับเธอ เด็กคนนั้นก็อาจเกิดมาพร้อมกับวิญญาณของการถูกปฏิเสธได้ด้วย
และเช่นเดียวกัน เด็กคนหนึ่งอาจเกิดมาและไม่ได้รับความรัก และด้วยเหตุนี้จึงต้องทนทุกข์กับการถูกปฏิเสธ ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ต่างเสาะหาความรักจากพ่อและแม่ เพราะเด็กทุกคนถูกสร้างมาเช่นนั้น แต่ในหลายๆ กรณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอเมริกาสมัยใหม่ เด็กทุกคนไม่ได้รับความรัก หรือถึงแม้ว่าเด็กจะได้รับความรัก แต่พ่อแม่ก็อาจไม่รู้ว่าจะแสดงความรักต่อเด็กอย่างไร มีหลายคนบอกกับผมว่า "ฉันคิดว่าพ่อของฉันคงรักฉันแหละ แต่ท่านไม่รู้ว่าจะแสดงออกยังไง ตลอดชีวิตของพ่อ ท่านไม่เคยให้ฉันได้นั่งตักหรือทำสิ่งใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าท่านรักฉันเลย" ปัญหาเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นได้กับคนที่เป็นแม่ด้วยเช่นกัน ผลก็คือเด็กคนนั้นจะรู้สึกว่าตนไม่เป็นที่ต้องการ
การถูกปฏิเสธอาจเกิดขึ้นได้ในภายหลังของชีวิต เช่นเดียวกับหญิงที่เราอ่านพบในพระธรรมอิสยาห์ ภรรยาอาจจะรักสามีของเธอและวาดภาพไว้ว่าชีวิตแต่งงานควรจะเป็นอย่างไร เธอจินตนาการว่าสามีจะรักเธออย่างไร และว่าเธอจะได้รับการอวยพรผ่านการมีลูกได้อย่างไร แต่มันกลับกลายเป็นตรงกันข้าม บางทีสามีของเธออาจรักเธออยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่กลับหันไปสนใจหญิงอื่น หรือเขาอาจเป็นชายคนหนึ่งที่ไม่รู้วิธีแสดงความรักก็ได้ หลังจากผ่านไปได้สักพักหนึ่ง หญิงสาวคนนี้ก็รู้สึกว่า "สามีของฉันไม่ต้องการฉัน เขาไม่ได้สนใจฉัน เขาไม่ได้อุทิศเวลาให้กับฉันเลย"
ปฏิกิริยาต่อการถูกปฏิเสธ
การถูกปฏิเสธอาจเป็นเพียงทัศนคติภายในที่เราพกติดตัวไปด้วยทุกที่ อย่างไรก็ตามผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่า เบื้องหลังอารมณ์ ปฏิกิริยาและทัศนคติเชิงลบนั้น มีวิญญาณที่มีลักษณะที่สอดคล้องกับสิ่งดังกล่าวอยู่ด้วย เช่น เบื้องหลังความกลัวมีวิญญาณแห่งความกลัว เบื้องหลังการอิจฉาริษยามีวิญญาณแห่งการอิจฉาริษยา เบื้องหลังความเกลียดชังมีวิญญาณแห่งความเกลียดชัง
บ่อยครั้งที่การยอมทำตามอารมณ์บางอย่างอาจจะเป็นการเปิดทางให้แก่วิญญาณของอารมณ์นั้นๆ เข้ามา และเมื่อวิญญาณนั้นเข้ามา คนๆ นั้นก็จะไม่ได้เป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งอีกต่อไป ยกตัวอย่างเช่น เด็กหญิงคนหนึ่งที่เกลียดชังพ่อของเธอเพราะเขาโหดร้าย ช่างติเตียน และไม่รู้จักแสดงความรัก เธออาจจะแต่งงานและมีลูกเป็นของตัวเอง จากนั้นอยู่ๆ เธอก็เริ่มเกลียดชังลูกคนหนึ่งของเธออย่างไร้เหตุผลและโหดร้าย แม้ว่าสิ่งนั้นจะขัดแย้งกับสิ่งที่เธอปรารถนาจะทำก็ตาม เธอถ่ายทอดความเกลียดชังที่มีต่อพ่อไปยังลูกของเธอเอง นั่นคือวิญญาณแห่งความเกลียดชัง เมื่อพ่อของเธอไม่อยู่ที่นั่น มันก็มุ่งเป้าไปที่คนอื่นแทน
บ่อยครั้งที่พ่อแม่ซึ่งมีข้อบกพร่องบางอย่างที่เจาะจง พวกเขามักจะเกลียดชังลูกที่เป็นเหมือนพวกเขามากที่สุด ทั้งๆ ที่พวกเขาเกลียดข้อบกพร่องในตัวของตนเองจริงๆ แต่แทนที่จะหันความเกลียดชังนั้นมาสู่ตนเอง พวกเขากลับหันมันไปหาลูกที่ถ่ายทอดลักษณะเฉพาะหรือจุดอ่อนเหล่านั้นซึ่งเป็นการสืบทอดมาจากพวกเขาเอง
เช่นเดียวกับที่มีวิญญาณแห่งความเกลียดชัง ก็มีวิญญาณแห่งการถูกปฏิเสธ ผมเรียนรู้สิ่งนี้โดยตรง เพราะเมื่อหลายปีที่ผ่านมาผมได้ช่วยเหลือผู้คนหลายร้อยคนที่มีความต้องการและพวกเขาก็ได้รับการปลดปล่อยจากวิญญาณการถูกปฏิเสธ
การถูกปฏิเสธเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเครียดไปด้วย มีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันสองเส้นทางซึ่งเกิดจากการถูกปฏิเสธ แน่นอนว่าไม่มีเส้นทางใดเป็นกฎที่ตายตัว แต่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอเพียงพอที่จะบ่งชี้ถึงรูปแบบของปฏิกิริยาที่แน่นอนได้
เส้นทางแรก
ในเส้นทางปฎิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นภายหลังการถูกปฏิเสธนั้นก็คือ ปฏิกิริยาของความโดดเดี่ยว, ความอ้างว้าง, ความเหงา หรือความเดียวดาย ความโดดเดี่ยวเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากทีเดียว ในโลกสมัยใหม่ของเรานั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่อ้างว้าง บางคนแม้จะนั่งอยู่ในโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ก็ตาม แต่ก็ไม่เคยหยุดที่จะรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวเลย
ความเหงานำไปสู่ความทุกข์โศก และเราทุกคนก็คงรู้จักคนเหล่านั้นที่ดูเหมือนจะมีความทุกข์โศกอยู่ตลอดเวลา
บ่อยครั้งที่ความทุกข์โศกและความเดียวดายมักจะนำไปสู่ความรู้สึกสงสารตัวเอง คุณจะรู้สึกเสียใจกับตัวเองอยู่เสมอ "ไม่มีใครเข้าใจฉันเลย, คนอื่นทำได้ แต่ฉันทำไม่ได้, ทำไมพระเจ้าถึงสร้างฉันมาแบบนี้?"
ขั้นถัดมาหลังจากเกิดความสงสารตัวเองแล้วก็มักจะเป็นภาวะซึมเศร้า ซึ่งก็คืออารมณ์แห่งความเศร้าหม่นหมองที่เข้าครอบงำคุณ ผมสามารถอธิบายถึงอารมณ์เหล่านี้ได้อย่างละเอียด เพราะผมเคยประสบกับภาวะอารมณ์แบบนี้ด้วยตัวเอง ผมจึงเข้าใจว่าผมกำลังพูดถึงอะไรอยู่
ภาวะซึมเศร้ามีแนวโน้มที่จะนำไปสู่บางสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น ซึ่งก็คือความสิ้นหวัง ความหมดหวัง “มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ฉันยอมแพ้ไปเลยจะดีกว่า” จากนั้นความสิ้นหวังก็จะนำไปสู่ผลลัพธ์หนึ่งในสองอย่างนี้ ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ ความตายและการฆ่าตัวตาย
มีความแตกต่างระหว่างความตายและการฆ่าตัวตาย ความตายคือความปราถนาที่จะตาย หากคุณเคยพูดว่า "ฉันหวังว่าฉันได้ตายไปแล้ว" นั่นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก คุณไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งนั้นหลายครั้งก่อนที่วิญญาณแห่งความตายจะเข้ามา
ส่วนการฆ่าตัวตายนั้นรุนแรงกว่ามาก "ฉันจบทุกอย่างไปเลยดีกว่า อยู่ไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร กินยาทั้งขวด กลืนมันลงไปตอนนี้เลย" หรือ "เอาเลย โดดไปตอนรถไฟกำลังวิ่งมา แล้วทุกอย่างก็จะจบลง"
เส้นทางที่สอง
ที่กล่าวมาคือเส้นทางของปฏิกิริยาต่อการถูกปฏิเสธรูปแบบหนึ่ง แต่มีอีกเส้นทางหนึ่งที่เป็นไปได้ซึ่งนำไปสู่ทิศทางที่ต่างออกไป ขั้นแรกที่พัฒนาจากการถูกปฏิเสธนั้นก็คือ ความแข็งกระด้าง "ถ้าพวกเขาไม่รักฉัน แล้วไง? ใครต้องการพวกเขากันล่ะ? ไม่มีพวกเขาฉันก็อยู่ได้"
จากนั้นความแข็งกระด้างก็จะนำไปสู่บางสิ่งที่ผมได้มีโอกาสศึกษาและวิเคราะห์นั่นก็คือ ความเฉยเมย หรือความไม่แยแส "ฉันไม่สน ฉันเจ็บมามากพอแล้ว จะไม่มีใครมาทำร้ายฉันให้เจ็บขนาดนั้นได้อีก ฉันจะตั้งกำแพงขึ้นไม่ให้ใครเข้ามาได้" ดังนั้น ภายนอกคุณอาจดูเป็นมิตร, คุณคุยกับผู้คน, คุณพูดตลก แต่มีบางอย่างในตัวคุณที่พวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามมันเพื่อจะเข้าถึงคุณได้
หลังจากความเฉยเมยก็จะเป็นการกบฏ - "ดีหละ! พวกเขาต่อต้านฉัน ฉันก็จะต่อต้านพวกเขาบ้าง, ฉันเกลียดพวกเขา, เกลียดศาสนาของพวกเขา, เกลียดโบสถ์ของพวกเขา, ฉันเกลียดพระเจ้าของพวกเขา, คุณจะประหลาดใจกับจำนวนผู้คนที่เคยบอกกับผมว่า ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต พวกเขาเคยพูดจริงๆ ว่า "พระเจ้า ข้าพระองค์เกลียดพระองค์" นั่นเป็นสิ่งที่แย่มากที่จะพูดออกไป หลายคนที่ผมรู้จักเคยพูดว่า "พระเจ้า เหตุใดพระองค์จึงทรงสร้างข้าพระองค์มาแบบนี้?" "พระองค์ให้ข้าพระองค์เกิดมาในโลกนี้ทำไม?"
จากนั้นการกบฏก็มักจะนำไปสู่การเล่นไสยศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่การเชื่อมโยงที่ชัดเจนนัก แต่ในพระคัมภีร์นั้นไสยศาสตร์มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการกบฏ ใน 1ซามูเอล 15:23 กล่าวว่า "เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม..." เมื่อผมกล่าวถึงไสยศาสตร์ ผมหมายถึงโลกที่เกี่ยวกับมิติลี้ลับที่เหนือธรรมชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาประสบการณ์ทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นของปลอม ผ่านผีถ้วยแก้ว, หมอดู, การเข้าทรง, และการแสวงหาทางด้านอื่นที่คล้ายคลึงกัน หลายคนไม่ได้ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้คือ การแสดงออกถึงการกบฏ แต่นั่นก็คือการหันจากพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ไปหาพระเทียมเท็จอื่น สิ่งนี้คือการกระทำที่ขัดต่อข้อบัญญัติข้อแรกคือ "ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา" (อพยพ 20:3) กษัตรย์ซาอูลเป็นตัวอย่างหนึ่งซึ่งเราเห็นได้ว่าการเล่นไสยศาสตร์นั้น ท้ายที่สุดแล้วได้นำไปสู่ความตายทางจิตวิญญาณและร่างกาย (1 พงศาวดาร 10:13-14)
ดังนั้นเราเห็นได้จากปฏิกิริยาทั้งสองเส้นทางนี้ว่าผลที่ตามมาจากการถูกปฏิเสธที่อยู่ในจิตวิญญาณของบุคคลนั้นสามารถทำลายล้างได้เพียงใด
ราก
ผมอยากชี้ให้เห็นว่าสำหรับปัญหาที่รุนแรงเช่นนี้ ข่าวประเสริฐได้นำเสนอวิธีแก้ไขปัญหาที่รุนแรงแบบถึงรากถึงโคน เพราะโดยตัวของข่าวประเสริฐเองนั้นเป็นเรื่องของรากฐานซึ่งเกี่ยวข้องกับ “ราก” ไม่ใช่ทุกคนจะรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า “รุนแรง (radical)” แต่คำนี้มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน ซึ่งหมายถึง “ราก” ดังนั้นสิ่งที่รุนแรง คือ “สิ่งที่ลงลึกไปถึงรากเหง้า” นั่นเอง
ในความหมายดังกล่าว ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องของรากฐาน ดังนั้นจึงลงลึกถึงรากของปัญหา นี่คือสิ่งที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้บรรยายถึงข่าวประเสริฐใน มัทธิว 3:10
“บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องถูกตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ” (THSV11)
นี่คือภาพของวิธีที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราจัดการกับปัญหาโดยใช้ต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ พระเจ้าทรงตรัสว่า "แค่ตัดกิ่งไม้ออกไม่กี่กิ่งนั้นไม่เพียงพอ"
ทั้งสามส่วนของต้นไม้นั้นสอดคล้องกับปัญหาในชีวิตของผู้คนทั้งสามด้าน ให้เราเริ่มต้นจากส่วนที่เป็นกิ่งก้าน สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า “บาป” เช่น การโกหก, การสบถสาบาน, การทำผิดศีลธรรม, การเสพติด, รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่คอยผลักดันและยั่วเย้าผู้คน กิจกรรมทางศาสนาส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่การตัดกิ่งก้านบางส่วนออกไปเท่านั้น เช่น "ฉันเลิกสูบบุหรี่แล้ว" หรือ "ฉันเลิกทำผิดศีลธรรมแล้ว" หรือ "ฉันไปเคยทำร้ายใครแล้ว และฉันก็ไปโบสถ์เป็นประจำทุกวันอาทิตย์" สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีแต่ยังไม่ดีที่สุด
ภายใต้พื้นผิว
หากคุณเพียงแค่ตัดกิ่งบางกิ่งออกคือ การกำจัดบาปบางอย่างออก ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คุณต้องเผชิญ คือกิ่งอื่นก็จะงอกขึ้นมาแทนที่ เนื่องจากกิ่งก้านทั้งหมดได้รับการหล่อเลี้ยงและค้ำจุนโดยลำต้น ในความเข้าใจของผมในแง่ของศาสนศาสตร์นั้น เราเรียกลำต้นว่า “ธรรมชาติของบาปในตัวมนุษย์ (sin)” ไม่ใช่ ‘บรรดาความบาปต่างๆ (sins)’ แต่เป็นธรรมชาติของบาปในตัวมนุษย์ ในพระคัมภีร์มีข้อแตกต่างที่กล่าวถึงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเล่มระหว่าง 'บรรดาความบาปต่างๆ (sins)' 'การกระทำที่เป็นบาป (sinful acts)' และ 'ธรรมชาติของบาปในตัวมนุษย์ (sin)' และสิ่งที่ทำให้เกิดบรรดาความบาปต่าง ๆ
การให้คำจำกัดความของ 'ธรรมชาติของบาปในตัวมนุษย์' นั้นค่อนข้างยาก แต่ผมเรียกมันว่าพลังอำนาจทางจิตวิญญาณที่ชั่วร้าย เสื่อมทราม ซึ่งทำงานในชีวิตของผู้คนและผลักดันให้พวกเขาทำบาป" ในการทรงไถ่นั้น พระเยซูทรงถูก "แทงเพราะความทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะความบาปผิด (การกระทำอันเป็นบาป) ของเรา" (อิสยาห์ 53:5) แต่ในอิสยาห์ 53:10 กล่าวว่า
"แต่พระยาห์เวห์ยังทรงประสงค์ให้ท่านบอบช้ำด้วยการบาดเจ็บ เมื่อชีวิตของท่านเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป" (THSV2011)
นั่นคือวิธีการจัดการกับลำต้นซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และพระคัมภีร์ก็รักษาความแตกต่างนี้ไว้อย่างต่อเนื่อง
ธรรมชาติของบาปในมนุษย์และบรรดาความบาปต่างๆ เป็นสิ่งที่อยู่บนพื้นผิวเท่านั้น แต่ภายใต้พื้นผิวนั้นคือสิ่งอื่นที่เรียกว่า ‘ราก’ นั่นเอง จากประสบการณ์และการศึกษาพระคัมภีร์ของผม รากสามารถอธิบายได้หมายถึง “ตัวตน” หรือ “ฉัน” คืออัตตาหรือการถือตัวเองเป็นสำคัญ “ฉันต้องการ, ฉันคิดว่า, ฉันชอบ, ฉันไม่ชอบ, มองที่ฉันสิ, ฉันสำคัญ, ฉันมีความหมาย, คุณไม่ได้ปฏิบัติกับฉันอย่างถูกต้อง โลกนั้นหมุนรอบตัวฉันเอง, ฉันน่าสงสารจัง, ไม่มีใครรักฉันเลย” ผมเชื่อว่าสิ่งนี้คือราก แม้แต่คนที่ต้องเผชิญความจริงของบาปก็ไม่ได้จัดการกับปัญหาของ “ตัวตน” เสมอไป แต่หากไม่ได้จัดการที่รากแล้วล่ะก็ ปัญหาจะยังคงดำเนินต่อไป
ในจดหมายฉบับถัดไปของผมนั้น เราจะมาต่อกันในหัวข้อของการถูกปฏิเสธ โดยสำรวจถึงทางออกของปัญหาดังกล่าว

*Free download
*This Teaching Letter is available to download, print and share for personal or church use.
ดาวน์โหลด PDFรหัส: TL-L084-100-THA