“จิตใจชอกช้ำใครจะทนได้เล่า?” (สุภาษิต 18:14 – THSV11)

ในบทค⁠ว⁠า⁠มนี้ ผมอยากจะสำรวจปัญหาที่เจาะจงปัญหาหนึ่ง ซึ่งในค⁠ว⁠า⁠มคิดของผมแล้ว มันส่งผลกระทบต่อคนหลายล้านคนในสหรัฐอเมริกา รวมถึงคนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนทั่วโลก ผลจากการทำพ⁠ั⁠น⁠ธ⁠ก⁠ิ⁠จของผมตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผมเชื่อมั่นว่า 1 ใน 5 คนในสหรัฐอเมริกาอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาการถูกปฏิเสธไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การถูกปฏิเสธนั้นนิยามง่ายๆ ก็คือ ค⁠ว⁠า⁠มรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ ค⁠ว⁠า⁠มรู้สึกที่ว่าแม้คุณอยากให้คนอื่นรักคุณ แต่ก็ไม่มีใครรัก หรือต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม แต่ก็รู้สึกถูกกีดกัน — ได้แต่มองจากภายนอกเข้าไปในกลุ่มอยู่เสมอ ผมเชื่อว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานกับปัญหานี้ในปัจจุบันก็คือ การสร้างสังคมของเราและค⁠ว⁠า⁠มกดดันจากสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งค⁠ว⁠า⁠มแตกแยกของชีวิตครอบครัว

หากผมถามคุณว่า “สิ่งที่ตรงกันข้ามกับการถูกปฏิเสธคืออะไร?” คุณอาจจะตอบว่า “การได้รับการยอมรับ” ซึ่งเป็นค⁠ำ⁠ต⁠อ⁠บที่ถูกต้อง ในบทค⁠ว⁠า⁠มนี้และบทค⁠ว⁠า⁠มถัดไป เราจะมุ่งค⁠ว⁠า⁠มสนใจไปยังวิธีก้าวจากการถูกปฏิเสธไปสู่การได้รับการยอมรับ

เราจะเริ่มต้นการศึกษาจากภาพของการถูกปฏิเสธที่พบใน อิสยาห์ 54:6 นี่เป็นภาพที่แสนเจ็บปวดของหญิงคนหนึ่งที่แต่งงานแล้วและมีหัวใจที่แตกสลาย

“เพราะพ⁠ร⁠ะ⁠ย⁠า⁠ห⁠์⁠เ⁠ว⁠ห⁠์ทรงเรียกเจ้า ดั่งภรรยาผู้ถูกทอดทิ้งและโทมนัสในวิญญาณจิต คือภรรยาที่ยังสาวเมื่อนางถูกทิ้ง” พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าของเจ้าตรัสดังนี้” (THSV11)

ภาพนี้เป็นภาพของหญิงสาวที่เพิ่งแต่งงานซึ่งพบว่าสามีไม่ได้รักเธอ บางทีเขาอาจจะไม่มีเวลาให้เธอหรือไม่สนใจเธอ หรือบางทีเขาอาจจะเตรียมหย่ากับเธอเพื่อหาภรรยาใหม่ก็เป็นได้ พ⁠ร⁠ะ⁠ค⁠ั⁠ม⁠ภ⁠ี⁠ร⁠์อธิบายว่าเธอ “ถูกทอดทิ้งและโศกเศร้าในจิตวิญญาณ”

มีบาดแผลชนิดหนึ่งที่ยากจะทนได้ ซึ่งสุภาษิต 18:14 ได้อธิบายบาดแผลขนิดนี้ไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า

“จิตใจของคนทนต่อค⁠ว⁠า⁠มเจ็บป่วยได้ แต่จิตใจที่ชอกช้ำใครจะทนได้เล่า” (THSV11)

เห็นได้ชัดว่าหญิงคนนี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากบาดแผลภายในจิตวิญญาณของเธอ

เราสามารถทนต่อการบาดเจ็บทางร่างกายได้ แต่จิตวิญญาณที่บาดเจ็บนั้นเป็นค⁠ว⁠า⁠มทุกข์ทรมานที่เกินกว่าจะทนได้

ลึกกว่าที่เราตระหนัก

1 โครินธิ์ 2:11 ยังก⁠ล⁠่⁠า⁠วไว้ด้วยว่า

“อันค⁠ว⁠า⁠มคิดของมนุษย์นั้น จะมีใครหยั่งรู้ได้ถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์คนนั้นเอง พระดำริของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าเช่นกัน” (THSV11)

จิตวิญญาณของคนๆ หนึ่ง มีค⁠ว⁠า⁠มล้ำลึกมากกว่าค⁠ว⁠า⁠มเข้าใจทางจิตใจ หรือค⁠ว⁠า⁠มสามารถด้านค⁠ว⁠า⁠มทรงจำ และด้านการใช้เหตุผล และจิตวิญญาณนั้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวคุณ จิตใจของคุณไม่ได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวคุณ มีหลายอย่างเกี่ยวกับตัวคุณที่จิตใจยังไม่ได้ค้นพบ เป็นไปได้มากทีเดียวที่คุณอาจจะมีบาดแผลเป็นระยะเวลาหลายปีโดยที่จิตใจไม่เคยรู้มาก่อนเลย ผมเชื่อว่าสิ่งนี้สามารถได้รับการยืนยันจากข้อสังเกตดังต่อไปนี้

คุณเคยสังเกตไหมว่า ขณะที่บางคนกำลังรับบ⁠ั⁠พ⁠ต⁠ิ⁠ศ⁠ม⁠าในพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์นั้น แม้แต่ชายที่เข้มแข็งและเชื่อมั่นในตัวเอง เขาก็อาจจะควบคุมตนเองไม่ได้และเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ผมเคยเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว และเมื่อผมเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ผมก็จะพูดว่า "บัดนี้พ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ได้แตะต้องลึกเข้าไปจิตวิญญาณของคนๆ นั้นแล้ว และพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์กำลังแก้ปมต่างๆ ที่ถูกผูกมัดไว้อยู่ภายในตัวเขามาเป็นเวลานาน ไม่มีใครสามารถแก้ปมนั้นได้นอกจากพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์

ครั้งหนึ่งขณะที่ผมกำลังอธิษฐานกับชายหนุ่มคนหนึ่งและสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับเขา แม้ว่าเขาจะได้รับบ⁠ั⁠พ⁠ต⁠ิ⁠ศ⁠ม⁠าในพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์มาแล้วก็ตาม แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพิ่งจะตอบสนองต่อค⁠ว⁠า⁠มต้องการที่อยู่ส่วนลึกในชีวิตของเขา โดยธรรมชาติแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างจะควบคุมตนเองได้ดีและมีท่าทางที่สงบเยือกเย็น แต่เมื่อพ⁠ร⁠ะ⁠ว⁠ิ⁠ญ⁠ญ⁠า⁠ณ⁠บ⁠ร⁠ิ⁠ส⁠ุ⁠ท⁠ธ⁠ิ⁠์ทรงสัมผัสปัญหานี้ที่เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเขา เขาก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กเล็กๆ ผมพูดกับเขาว่า นี่แน่ะ! อย่ากลั้นน้ำตาไว้อีกเลย “อย่าพยายามควบคุมตนเองอีกต่อไป ปล่อยให้มันไหลออกมาเถิด เพราะคุณไม่สามารถซื้อช่วงเวลาแบบนี้ได้ด้วยเงินหนึ่งพันดอลลาร์หรอก มันล้ำค่าจริงๆ”

เรื่องราวทั้งหมดที่ผมแบ่งปันมานี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า มีพื้นที่ที่อยู่ลึกลงไปภายในตัวคุณที่จิตใจของคุณไม่รู้ บางครั้งจิตใจอาจจะปฏิเสธที่จะเผชิญกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพื้นที่นั้นภายในตัวคุณ นักจิตวิทยาและจิตแพทย์ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า มีบาดแผลบางอย่างซึ่งเจ็บปวดจนจิตใจปฏิเสธที่จะมุ่งค⁠ว⁠า⁠มสนใจไปกับสิ่งนั้น จิตใจแค่เมินเฉยต่อสิ่งนั้น อย่างไรก็ตามบาดแผลยังคงอยู่ที่นั่น มันอยู่ลึกกว่าจิตใจ ลึกกว่าการใช้เหตุผล ลึกกว่าค⁠ว⁠า⁠มทรงจำ มันอยู่ในจิตวิญญาณ

บ่อยครั้งที่การถูกปฏิเสธอยู่ลึกเข้าไปในพื้นที่ส่วนที่เรียกว่าจิตวิญญาณ และบ่อยครั้งเพราะการถูกปฏิเสธนั้นอยู่ลึกมาก ผู้คนจึงไม่ตระหนักว่าปัญหาข⁠อ⁠ง⁠พ⁠ว⁠ก⁠เ⁠ข⁠าคือ การถูกปฏิเสธ

การถูกปฏิเสธเริ่มต้นอย่างไร

ให้เรามาพิจารณาบางตัวอย่างว่า การถูกปฏิเสธนั้นอาจเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยคำนึงเสมอว่าการถูกปฏิเสธนั้นมีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน

ผมจำกรณีของหญิงคนหนึ่งได้โดยเฉพาะ เธออาศัยอยู่ในฟลอริดา เย็นวันหนึ่งขณะที่ผมไปเยี่ยมบ้านของหญิงคนนี้ ผมได้ทำบางสิ่งที่ผมไม่ค่อยได้ทำคือ ผมพูดกับเธอตรงๆ ว่า "คุณครับ หากสิ่งที่ผมคิดถูกต้อง คุณมีวิญญาณแห่งค⁠ว⁠า⁠มตายอยู่ภายในตัวคุณ" ผมแทบจะไม่ค่อยได้พูดลักษณะนี้เลยเพราะมันอาจทำให้เกิดปัญหายุ่งยากขึ้นได้ แต่ผมเสี่ยงที่จะบอกกับเธอ เพราะเห็นได้ชัดว่าเธอต้องการค⁠ว⁠า⁠มช่วยเหลือ หญิงคนนี้มีเหตุผลทุกประการที่จะทำให้เธอมีค⁠ว⁠า⁠มสุข แต่ก็ไม่เคยมีค⁠ว⁠า⁠มสุขเลย เธอมีสามีและลูกที่ดี แต่ไม่เคยมีค⁠ว⁠า⁠มชื่นชมยินดี ผมจึงบอกเธอว่า "ผมจะมีประชุมการปลดปล่อยในคืนวันศุกร์นี้ ถ้าคุณจะมาผมจะอธิษฐานเผื่อคุณ"

เมื่อคืนที่นัดหมายมาถึง หญิงผู้นี้ได้มาในที่ประชุม และขณะที่ผมเริ่มการอธิษฐานปลดปล่อยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมนั้น เธอกำลังนั่งอยู่แถวหน้า และเป็นอีกครั้งที่ผมทำในสิ่งที่ปกติแล้วผมจะไม่ทำ คือ เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งระหว่างการประชุม ผมเดินไปหาเธอแล้วพูดว่า "เจ้าวิญญาณแห่งค⁠ว⁠า⁠มตาย ในพระนามของพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ู เจ้าจงตอบฉันมาว่า เจ้าเข้ามาในหญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?"

แล้วเจ้าวิญญาณนั้น ซึ่งไม่ใช่ตัวของหญิงคนนั้น ก็ตอบอย่างชัดเจนว่า "โอ้ เราเข้ามาเมื่อเธออายุได้สองขวบ"

"เจ้าเข้ามาในหญิงคนนี้ได้อย่างไร" ผมถาม

มันตอบว่า "โอ เธอรู้สึกถูกปฏิเสธ เธอรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ เธอรู้สึกเหงา"

ผมคิดกับตัวเองว่า มันเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจมากว่าการรู้สึกถูกปฏิเสธได้เข้ามาในหญิงคนนี้ตั้งแต่เธออายุได้เพียงสองขวบเท่านั้น

เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเข้าใจปัญหาของผู้คนในด้านหนึ่งจริงๆ เพราะผมค้นพบว่าการถูกปฏิเสธสามารถเริ่มต้นได้ก่อนที่เด็กจะเกิดมาเสียอีก ผมสามารถให้รายชื่อของบุคคลที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงซึ่งจะเป็นพยานได้ว่าเรื่องนี้เป็นจริงในชีวิตชองพวกเขา ถ้าหญิงคนหนึ่งอุ้มท้องเด็กซึ่งเธอไม่พอใจที่จะให้เกิดมา บ่อยครั้งที่เด็กคนนั้นมักจะเกิดมาพร้อมกับวิญญาณการถูกปฏิเสธ

เหยื่ออันแสนเปราะบาง

ตัวอย่างของการถูกปฏิเสธประเภทนี้นั้นพบได้แพร่หลาย ในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีช่วงอายุหนึ่งที่เจาะจง นั่นก็คือเด็กที่แม่ตั้งครรภ์ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (หรือ The Great Depression) ทำไมน่ะหรือ? เพราะหลายครอบครัวจำเป็นต้องหาเลี้ยงปากท้องของสมาชิกในครอบครัวหลายคนอยู่แล้ว และค⁠ว⁠า⁠มคิดที่ว่ากำลังจะมีอีกหนึ่งชีวิตเกิดมาในโลก ทำให้เกิดค⁠ว⁠า⁠มรู้สึกขมขื่นว่า "ทำไมเราถึงต้องมีลูกเพิ่มมาอีกคนด้วย?"

ปัญหาอย่างเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นกับเด็กที่แม่ตั้งครรภ์นอกสมรส ส่วนมากแล้วในการถูกปฏิเสธประเภทนี้ ปัญหาหลายๆ อย่างจะมีค⁠ว⁠า⁠มเกี่ยวข้องกับแม่ของเด็ก แม่อาจจะขุ่นเคืองหรือแม้แต่เกลียดชังเด็กคนนี้ซึ่งกำลังจะเข้ามาในชีวิตของเธอและสร้างปัญหาให้กับเธอ เด็กคนนั้นก็อาจเกิดมาพร้อมกับวิญญาณของการถูกปฏิเสธได้ด้วย

และเช่นเดียวกัน เด็กคนหนึ่งอาจเกิดมาและไม่ได้รับค⁠ว⁠า⁠มรัก และด้วยเหตุนี้จึงต้องทนทุกข์กับการถูกปฏิเสธ ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ต่างเสาะหาค⁠ว⁠า⁠มรักจากพ่อและแม่ เพราะเด็กทุกคนถูกสร้างมาเช่นนั้น แต่ในหลายๆ กรณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอเมริกาสมัยใหม่ เด็กทุกคนไม่ได้รับค⁠ว⁠า⁠มรัก หรือถึงแม้ว่าเด็กจะได้รับค⁠ว⁠า⁠มรัก แต่พ่อแม่ก็อาจไม่รู้ว่าจะแสดงค⁠ว⁠า⁠มรักต่อเด็กอย่างไร มีหลายคนบอกกับผมว่า "ฉันคิดว่าพ่อของฉันคงรักฉันแหละ แต่ท่านไม่รู้ว่าจะแสดงออกยังไง ตลอดชีวิตของพ่อ ท่านไม่เคยให้ฉันได้นั่งตักหรือทำสิ่งใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าท่านรักฉันเลย" ปัญหาเดียวกันนี้อาจเกิดขึ้นได้กับคนที่เป็นแม่ด้วยเช่นกัน ผลก็คือเด็กคนนั้นจะรู้สึกว่าตนไม่เป็นที่ต้องการ

การถูกปฏิเสธอาจเกิดขึ้นได้ในภายหลังของชีวิต เช่นเดียวกับหญิงที่เราอ่านพบในพระธรรมอิสยาห์ ภรรยาอาจจะรักสามีของเธอและวาดภาพไว้ว่าชีวิตแต่งงานควรจะเป็นอย่างไร เธอจินตนาการว่าสามีจะรักเธออย่างไร และว่าเธอจะได้รับการอวยพรผ่านการมีลูกได้อย่างไร แต่มันกลับกลายเป็นตรงกันข้าม บางทีสามีของเธออาจรักเธออยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่กลับหันไปสนใจหญิงอื่น หรือเขาอาจเป็นชายคนหนึ่งที่ไม่รู้วิธีแสดงค⁠ว⁠า⁠มรักก็ได้ หลังจากผ่านไปได้สักพักหนึ่ง หญิงสาวคนนี้ก็รู้สึกว่า "สามีของฉันไม่ต้องการฉัน เขาไม่ได้สนใจฉัน เขาไม่ได้อุทิศเวลาให้กับฉันเลย"

ปฏิกิริยาต่อการถูกปฏิเสธ

การถูกปฏิเสธอาจเป็นเพียงทัศนคติภายในที่เราพกติดตัวไปด้วยทุกที่ อย่างไรก็ตามผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่า เบื้องหลังอารมณ์ ปฏิกิริยาและทัศนคติเชิงลบนั้น มีวิญญาณที่มีลักษณะที่สอดคล้องกับสิ่งดังก⁠ล⁠่⁠า⁠วอยู่ด้วย เช่น เบื้องหลังค⁠ว⁠า⁠มกลัวมีวิญญาณแห่งค⁠ว⁠า⁠มกลัว เบื้องหลังการอิจฉาริษยามีวิญญาณแห่งการอิจฉาริษยา เบื้องหลังค⁠ว⁠า⁠มเกลียดชังมีวิญญาณแห่งค⁠ว⁠า⁠มเกลียดชัง

บ่อยครั้งที่การยอมทำตามอารมณ์บางอย่างอาจจะเป็นการเปิดทางให้แก่วิญญาณของอารมณ์นั้นๆ เข้ามา และเมื่อวิญญาณนั้นเข้ามา คนๆ นั้นก็จะไม่ได้เป็นผู้ควบคุมทุกสิ่งอีกต่อไป ยกตัวอย่างเช่น เด็กหญิงคนหนึ่งที่เกลียดชังพ่อของเธอเพราะเขาโหดร้าย ช่างติเตียน และไม่รู้จักแสดงค⁠ว⁠า⁠มรัก เธออาจจะแต่งงานและมีลูกเป็นของตัวเอง จากนั้นอยู่ๆ เธอก็เริ่มเกลียดชังลูกคนหนึ่งของเธออย่างไร้เหตุผลและโหดร้าย แม้ว่าสิ่งนั้นจะขัดแย้งกับสิ่งที่เธอปรารถนาจะทำก็ตาม เธอถ่ายทอดค⁠ว⁠า⁠มเกลียดชังที่มีต่อพ่อไปยังลูกของเธอเอง นั่นคือวิญญาณแห่งค⁠ว⁠า⁠มเกลียดชัง เมื่อพ่อของเธอไม่อยู่ที่นั่น มันก็มุ่งเป้าไปที่คนอื่นแทน

บ่อยครั้งที่พ่อแม่ซึ่งมีข้อบกพร่องบางอย่างที่เจาะจง พวกเขามักจะเกลียดชังลูกที่เป็นเหมือนพวกเขามากที่สุด ทั้งๆ ที่พวกเขาเกลียดข้อบกพร่องในตัวของตนเองจริงๆ แต่แทนที่จะหันค⁠ว⁠า⁠มเกลียดชังนั้นมาสู่ตนเอง พวกเขากลับหันมันไปหาลูกที่ถ่ายทอดลักษณะเฉพาะหรือจุดอ่อนเหล่านั้นซึ่งเป็นการสืบทอดมาจากพวกเขาเอง

เช่นเดียวกับที่มีวิญญาณแห่งค⁠ว⁠า⁠มเกลียดชัง ก็มีวิญญาณแห่งการถูกปฏิเสธ ผมเรียนรู้สิ่งนี้โดยตรง เพราะเมื่อหลายปีที่ผ่านมาผมได้ช่วยเหลือผู้คนหลายร้อยคนที่มีค⁠ว⁠า⁠มต้องการและพวกเขาก็ได้รับการปลดปล่อยจากวิญญาณการถูกปฏิเสธ

การถูกปฏิเสธเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้อื่นได้รับค⁠ว⁠า⁠มเครียดไปด้วย มีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันสองเส้นทางซึ่งเกิดจากการถูกปฏิเสธ แน่นอนว่าไม่มีเส้นทางใดเป็นกฎที่ตายตัว แต่เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอเพียงพอที่จะบ่งชี้ถึงรูปแบบของปฏิกิริยาที่แน่นอนได้

เส้นทางแรก

ในเส้นทางปฎิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นภายหลังการถูกปฏิเสธนั้นก็คือ ปฏิกิริยาของค⁠ว⁠า⁠มโดดเดี่ยว, ค⁠ว⁠า⁠มอ้างว้าง, ค⁠ว⁠า⁠มเหงา หรือค⁠ว⁠า⁠มเดียวดาย ค⁠ว⁠า⁠มโดดเดี่ยวเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากทีเดียว ในโลกสมัยใหม่ของเรานั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่อ้างว้าง บางคนแม้จะนั่งอยู่ในโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ก็ตาม แต่ก็ไม่เคยหยุดที่จะรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวเลย

ค⁠ว⁠า⁠มเหงานำไปสู่ค⁠ว⁠า⁠มทุกข์โศก และเราทุกคนก็คงรู้จักคนเหล่านั้นที่ดูเหมือนจะมีค⁠ว⁠า⁠มทุกข์โศกอยู่ตลอดเวลา

บ่อยครั้งที่ค⁠ว⁠า⁠มทุกข์โศกและค⁠ว⁠า⁠มเดียวดายมักจะนำไปสู่ค⁠ว⁠า⁠มรู้สึกสงสารตัวเอง คุณจะรู้สึกเสียใจกับตัวเองอยู่เสมอ "ไม่มีใครเข้าใจฉันเลย, คนอื่นทำได้ แต่ฉันทำไม่ได้, ทำไมพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าถึงสร้างฉันมาแบบนี้?"

ขั้นถัดมาหลังจากเกิดค⁠ว⁠า⁠มสงสารตัวเองแล้วก็มักจะเป็นภาวะซึมเศร้า ซึ่งก็คืออารมณ์แห่งค⁠ว⁠า⁠มเศร้าหม่นหมองที่เข้าครอบงำคุณ ผมสามารถอธิบายถึงอารมณ์เหล่านี้ได้อย่างละเอียด เพราะผมเคยประสบกับภาวะอารมณ์แบบนี้ด้วยตัวเอง ผมจึงเข้าใจว่าผมกำลังพูดถึงอะไรอยู่

ภาวะซึมเศร้ามีแนวโน้มที่จะนำไปสู่บางสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้น ซึ่งก็คือค⁠ว⁠า⁠มสิ้นหวัง ค⁠ว⁠า⁠มหมดหวัง “มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ฉันยอมแพ้ไปเลยจะดีกว่า” จากนั้นค⁠ว⁠า⁠มสิ้นหวังก็จะนำไปสู่ผลลัพธ์หนึ่งในสองอย่างนี้ ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ ค⁠ว⁠า⁠มตายและการฆ่าตัวตาย

มีค⁠ว⁠า⁠มแตกต่างระหว่างค⁠ว⁠า⁠มตายและการฆ่าตัวตาย ค⁠ว⁠า⁠มตายคือค⁠ว⁠า⁠มปราถนาที่จะตาย หากคุณเคยพูดว่า "ฉันหวังว่าฉันได้ตายไปแล้ว" นั่นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก คุณไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งนั้นหลายครั้งก่อนที่วิญญาณแห่งค⁠ว⁠า⁠มตายจะเข้ามา

ส่วนการฆ่าตัวตายนั้นรุนแรงกว่ามาก "ฉันจบทุกอย่างไปเลยดีกว่า อยู่ไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไร กินยาทั้งขวด กลืนมันลงไปตอนนี้เลย" หรือ "เอาเลย โดดไปตอนรถไฟกำลังวิ่งมา แล้วทุกอย่างก็จะจบลง"

เส้นทางที่สอง

ที่ก⁠ล⁠่⁠า⁠วมาคือเส้นทางของปฏิกิริยาต่อการถูกปฏิเสธรูปแบบหนึ่ง แต่มีอีกเส้นทางหนึ่งที่เป็นไปได้ซึ่งนำไปสู่ทิศทางที่ต่างออกไป ขั้นแรกที่พัฒนาจากการถูกปฏิเสธนั้นก็คือ ค⁠ว⁠า⁠มแข็งกระด้าง "ถ้าพวกเขาไม่รักฉัน แล้วไง? ใครต้องการพวกเขากันล่ะ? ไม่มีพวกเขาฉันก็อยู่ได้"

จากนั้นค⁠ว⁠า⁠มแข็งกระด้างก็จะนำไปสู่บางสิ่งที่ผมได้มีโอกาสศึกษาและวิเคราะห์นั่นก็คือ ค⁠ว⁠า⁠มเฉยเมย หรือค⁠ว⁠า⁠มไม่แยแส "ฉันไม่สน ฉันเจ็บมามากพอแล้ว จะไม่มีใครมาทำร้ายฉันให้เจ็บขนาดนั้นได้อีก ฉันจะตั้งกำแพงขึ้นไม่ให้ใครเข้ามาได้" ดังนั้น ภายนอกคุณอาจดูเป็นมิตร, คุณคุยกับผู้คน, คุณพูดตลก แต่มีบางอย่างในตัวคุณที่พวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามมันเพื่อจะเข้าถึงคุณได้

หลังจากค⁠ว⁠า⁠มเฉยเมยก็จะเป็นการกบฏ - "ดีหละ! พวกเขาต่อต้านฉัน ฉันก็จะต่อต้านพวกเขาบ้าง, ฉันเกลียดพวกเขา, เกลียดศาสนาข⁠อ⁠ง⁠พ⁠ว⁠ก⁠เ⁠ข⁠า, เกลียดโบสถ์ข⁠อ⁠ง⁠พ⁠ว⁠ก⁠เ⁠ข⁠า, ฉันเกลียดพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าข⁠อ⁠ง⁠พ⁠ว⁠ก⁠เ⁠ข⁠า, คุณจะประหลาดใจกับจำนวนผู้คนที่เคยบอกกับผมว่า ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต พวกเขาเคยพูดจริงๆ ว่า "พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠า ข้าพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์เกลียดพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์" นั่นเป็นสิ่งที่แย่มากที่จะพูดออกไป หลายคนที่ผมรู้จักเคยพูดว่า "พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠า เหตุใดพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์จึงทรงสร้างข้าพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์มาแบบนี้?" "พ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์ให้ข้าพ⁠ร⁠ะ⁠อ⁠ง⁠ค⁠์เกิดมาในโลกนี้ทำไม?"

จากนั้นการกบฏก็มักจะนำไปสู่การเล่นไสยศาสตร์ ซึ่งไม่ใช่การเชื่อมโยงที่ชัดเจนนัก แต่ในพ⁠ร⁠ะ⁠ค⁠ั⁠ม⁠ภ⁠ี⁠ร⁠์นั้นไสยศาสตร์มีค⁠ว⁠า⁠มเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการกบฏ ใน 1ซามูเอล 15:23 ก⁠ล⁠่⁠า⁠วว่า "เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม..." เมื่อผมก⁠ล⁠่⁠า⁠วถึงไสยศาสตร์ ผมหมายถึงโลกที่เกี่ยวกับมิติลี้ลับที่เหนือธรรมชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาประสบการณ์ทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นของปลอม ผ่านผีถ้วยแก้ว, หมอดู, การเข้าทรง, และการแสวงหาทางด้านอื่นที่คล้ายคลึงกัน หลายคนไม่ได้ตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้คือ การแสดงออกถึงการกบฏ แต่นั่นก็คือการหันจากพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าองค์เที่ยงแท้ไปหาพระเทียมเท็จอื่น สิ่งนี้คือก⁠า⁠ร⁠ก⁠ร⁠ะ⁠ท⁠ำที่ขัดต่อข้อบัญญัติข้อแรกคือ "ห้ามมีพ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าอื่นใดนอกเหนือจากเรา" (อพยพ 20:3) กษัตรย์ซาอูลเป็นตัวอย่างหนึ่งซึ่งเราเห็นได้ว่าการเล่นไสยศาสตร์นั้น ท้ายที่สุดแล้วได้นำไปสู่ค⁠ว⁠า⁠มตายทางจิตวิญญาณและร่างกาย (1 พงศาวดาร 10:13-14)

ดังนั้นเราเห็นได้จากปฏิกิริยาทั้งสองเส้นทางนี้ว่าผลที่ตามมาจากการถูกปฏิเสธที่อยู่ในจิตวิญญาณของบุคคลนั้นสามารถทำลายล้างได้เพียงใด

ราก

ผมอยากชี้ให้เห็นว่าสำหรับปัญหาที่รุนแรงเช่นนี้ ข่าวประเสริฐได้นำเสนอวิธีแก้ไขปัญหาที่รุนแรงแบบถึงรากถึงโคน เพราะโดยตัวของข่าวประเสริฐเองนั้นเป็นเรื่องของรากฐานซึ่งเกี่ยวข้องกับ “ราก” ไม่ใช่ทุกคนจะรู้ถึงค⁠ว⁠า⁠มหมายที่แท้จริงของคำว่า “รุนแรง (radical)” แต่คำนี้มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน ซึ่งหมายถึง “ราก” ดังนั้นสิ่งที่รุนแรง คือ “สิ่งที่ลงลึกไปถึงรากเหง้า” นั่นเอง

ในค⁠ว⁠า⁠มหมายดังก⁠ล⁠่⁠า⁠ว ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องของรากฐาน ดังนั้นจึงลงลึกถึงรากของปัญหา นี่คือสิ่งที่ยอห์นผู้ให้บ⁠ั⁠พ⁠ต⁠ิ⁠ศ⁠ม⁠าได้บรรยายถึงข่าวประเสริฐใน มัทธิว 3:10

“บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องถูกตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ” (THSV11)

นี่คือภาพของวิธีที่พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าทรงประสงค์ให้เราจัดการกับปัญหาโดยใช้ต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠จ⁠้⁠าทรงตรัสว่า "แค่ตัดกิ่งไม้ออกไม่กี่กิ่งนั้นไม่เพียงพอ"

ทั้งสามส่วนของต้นไม้นั้นสอดคล้องกับปัญหาในชีวิตของผู้คนทั้งสามด้าน ให้เราเริ่มต้นจากส่วนที่เป็นกิ่งก้าน สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า “บาป” เช่น การโกหก, การสบถสาบาน, การทำผิดศีลธรรม, การเสพติด, รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่คอยผลักดันและยั่วเย้าผู้คน กิจกรรมทางศาสนาส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปที่การตัดกิ่งก้านบางส่วนออกไปเท่านั้น เช่น "ฉันเลิกสูบบุหรี่แล้ว" หรือ "ฉันเลิกทำผิดศีลธรรมแล้ว" หรือ "ฉันไปเคยทำร้ายใครแล้ว และฉันก็ไปโบสถ์เป็นประจำทุกวันอาทิตย์" สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดีแต่ยังไม่ดีที่สุด

ภายใต้พื้นผิว

หากคุณเพียงแค่ตัดกิ่งบางกิ่งออกคือ การกำจัดบาปบางอย่างออก ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คุณต้องเผชิญ คือกิ่งอื่นก็จะงอกขึ้นมาแทนที่ เนื่องจากกิ่งก้านทั้งหมดได้รับการหล่อเลี้ยงและค้ำจุนโดยลำต้น ในค⁠ว⁠า⁠มเข้าใจของผมในแง่ของศาสนศาสตร์นั้น เราเรียกลำต้นว่า “ธรรมชาติของบาปในตัวมนุษย์ (sin)” ไม่ใช่ ‘บรรดาค⁠ว⁠า⁠มบาปต่างๆ (sins)’ แต่เป็นธรรมชาติของบาปในตัวมนุษย์ ในพ⁠ร⁠ะ⁠ค⁠ั⁠ม⁠ภ⁠ี⁠ร⁠์มีข้อแตกต่างที่ก⁠ล⁠่⁠า⁠วถึงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเล่มระหว่าง 'บรรดาค⁠ว⁠า⁠มบาปต่างๆ (sins)' 'ก⁠า⁠ร⁠ก⁠ร⁠ะ⁠ท⁠ำที่เป็นบาป (sinful acts)' และ 'ธรรมชาติของบาปในตัวมนุษย์ (sin)' และสิ่งที่ทำให้เกิดบรรดาค⁠ว⁠า⁠มบาปต่าง ๆ

การให้คำจำกัดค⁠ว⁠า⁠มของ 'ธรรมชาติของบาปในตัวมนุษย์' นั้นค่อนข้างยาก แต่ผมเรียกมันว่าพลังอำนาจทางจิตวิญญาณที่ชั่วร้าย เสื่อมทราม ซึ่งทำงานในชีวิตของผู้คนและผลักดันให้พวกเขาทำบาป" ในการทรงไถ่นั้น พ⁠ร⁠ะ⁠เ⁠ย⁠ซ⁠ูทรงถูก "แทงเพราะค⁠ว⁠า⁠มทรยศของเรา ท่านบอบช้ำเพราะค⁠ว⁠า⁠มบาปผิด (ก⁠า⁠ร⁠ก⁠ร⁠ะ⁠ท⁠ำอันเป็นบาป) ของเรา" (อิสยาห์ 53:5) แต่ในอิสยาห์ 53:10 ก⁠ล⁠่⁠า⁠วว่า

"แต่พ⁠ร⁠ะ⁠ย⁠า⁠ห⁠์⁠เ⁠ว⁠ห⁠์ยังทรงประสงค์ให้ท่านบอบช้ำด้วยการบาดเจ็บ เมื่อชีวิตของท่านเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป" (THSV2011)

นั่นคือวิธีการจัดการกับลำต้นซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และพ⁠ร⁠ะ⁠ค⁠ั⁠ม⁠ภ⁠ี⁠ร⁠์ก็รักษาค⁠ว⁠า⁠มแตกต่างนี้ไว้อย่างต่อเนื่อง

ธรรมชาติของบาปในมนุษย์และบรรดาค⁠ว⁠า⁠มบาปต่างๆ เป็นสิ่งที่อยู่บนพื้นผิวเท่านั้น แต่ภายใต้พื้นผิวนั้นคือสิ่งอื่นที่เรียกว่า ‘ราก’ นั่นเอง จากประสบการณ์และการศึกษาพ⁠ร⁠ะ⁠ค⁠ั⁠ม⁠ภ⁠ี⁠ร⁠์ของผม รากสามารถอธิบายได้หมายถึง “ตัวตน” หรือ “ฉัน” คืออัตตาหรือการถือตัวเองเป็นสำคัญ “ฉันต้องการ, ฉันคิดว่า, ฉันชอบ, ฉันไม่ชอบ, มองที่ฉันสิ, ฉันสำคัญ, ฉันมีค⁠ว⁠า⁠มหมาย, คุณไม่ได้ปฏิบัติกับฉันอย่างถูกต้อง โลกนั้นหมุนรอบตัวฉันเอง, ฉันน่าสงสารจัง, ไม่มีใครรักฉันเลย” ผมเชื่อว่าสิ่งนี้คือราก แม้แต่คนที่ต้องเผชิญค⁠ว⁠า⁠มจริงของบาปก็ไม่ได้จัดการกับปัญหาของ “ตัวตน” เสมอไป แต่หากไม่ได้จัดการที่รากแล้วล่ะก็ ปัญหาจะยังคงดำเนินต่อไป

ในจดหมายฉบับถัดไปของผมนั้น เราจะมาต่อกันในหัวข้อของการถูกปฏิเสธ โดยสำรวจถึงทางออกของปัญหาดังก⁠ล⁠่⁠า⁠ว

49
แบ่งปัน