ความสำคัญของความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง

Teaching Legacy Letter
*First Published: 2006
*Last Updated: ธันวาคม 2025
14 min read
โดยปกติแล้ว หากคุณต้องการมีวงดนตรีประสานเสียงวงใหญ่ (ซิมโฟนี) สักวงหนึ่ง องค์ประกอบสอง สิ่งที่คุณต้องมีอย่างแน่นอนคือ โน้ตเพลงและวาทยากร (ผู้ควบคุมวงดนตรี) ในมิติฝ่ ายวิญญาณก็เช่นเดียวกัน หากคุณต้องการมีวงดนตรีประสานเสียงวงใหญ่ คุณก็ต้องมีองค์ประกอบทั้งสองสิ่งเหมือนกันคือ โน้ตเพลง หมายถึง น้า พระทยัของพระเจา้ และวาทยากร หมายถึง พระวิญญาณบริสุทธิ์
ใน มัทธิว 18:19 “ถ้าพวกท่านสองคนจะร่วมใจกันทูลขอสิ่ งหนึ่ งสิ่ งใดบนโลก” ค าว่า ‘ร่วมใจกัน’ ในภาษา กรีกเป็นค าเดียวกับค าว่า ‘ซิมโฟนี’ มันไม่ใช่แค่การเห็นพ้องต้องกันในด้านปัญญาหรือความคิดเท่านั้น แต่เป็น ความสามัคคีและความปรองดองกัน มันเป็ นเรื่องของคนสองคนหรือมากกว่าที่มารวมเป็ นหนึ่งเดียวกันใน วิญญาณจิต เมื่อผู้คนมาอยู่ร่วมกันเป็ นหนึ่งเดียวในวิญญาณจิต ในความสามัคคีและการเห็นพ้องต้องกันใน สิ่งที่เป็ นน ้าพระทัยของพระเจ้า ซึ่งเปิดเผยโดยพระวิญญาณบริสุทธ์ิ พวกเขาก็สามารถเขา้ถึงสิ่งจา เป็นใดๆ ก็ได้ ตามที่ต้องการ นี่เป็นพระสัญญาที่เป็นจริง แต่คุณต้องท าตามเงื่อนไข
บางครั้ง มีคนมาพูดกับผมว่า “มาเถอะ พี่ปร้ินซ์เราจะอธิษฐานเผ่ือเร่ืองนั้นเร่ืองน้ีกัน แล้วให้เราเห็น พ้องต้องกันนะ” บางครั้งผมรู้สึกล าบากใจ เพราะผมคิดว่าการท าเช่นนั้นมันเป็ นการเสแสร้งหรือเป็ นสิ่งที่ท า แบบผิวเผิน ซึ่งจะไม่เกิดผลอะไร การเห็นพ้องต้องกันไม่ใช่แค่พูดว่า “เราเห็นด้วย” เท่านั้น แต่การเห็นพ้อง ต้องกันคือ การผสมผสานกลมกลืนเป็ นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณจิต และเมื่อเราไปถึงจุดของการผสมผสาน กลมกลืนเป็ นหนึ่งเดียวกันในฝ่ ายวิญญาณอย่างแท้จริงแล้ว ก็จะไม่มีอะไรขัดขวางเราได้ ด้วยเหตุนี้ มารจึง พยายามท าทุกวิถีทางในขอบเขตอ านาจของมัน ที่จะไม่ให้คริสเตียนไปถึงจุดนั้น และมันก็ประสบความส าเร็จ อย่างใหญ่หลวงท่ามกลางผู้คนมากมายที่เรียกตนเองว่าเป็ นคริสเตียน
ผมเชื่อว่า ผมคงไม่ได้ท าให้คุณตกใจเมื่อพูดว่าคริสตจักร ซึ่งเป็ นพระกายของพระคริสต์นั้น ไม่ใช่ องค์กรแบบของโลกนี้ กล่าวโดยทั่วไปคือ คริสเตียนรู้สึกว่าตนถูกบังคับหรือถูกกดดันให้จัดตั้งองค์กรในลักษณะ ของสถาบันขึ้ น เพื่อเป็ นสถานที่ที่พวกเขาสามารถผูกพันตัวกันเพื่อให้บรรลุความเป็ นเอกภาพหรือความเป็ น น ้าหนึ่งใจเดียวกัน แต่ความจริงก็คือ สิ่งนี้ ไม่อาจก่อให้เกิดความเป็ นเอกภาพตามแบบอย่างที่พระเจ้าทรงตั้ง พระทัยไว้ส าหรับพระกายของพระเยซูคริสต์
ภายใต้พันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงมีปัญหาอย่างใหญ่หลวงกับชนชาติของพระองค์คือ อิสราเอล พระองค์ได้ทรงเปิ ดเผยแล้วว่า ส าหรับพระองค์นั้น เราไม่สามารถจะน าภาพเหมือนของบุคคล รูปภาพ หรือ ภาพลักษณ์ใดๆ มาเป็ นตัวแทนของพระองค์ได้ ความพยายามที่จะสร้างภาพลักษณ์ของพระเจ้าถูกห้าม โดยเด็ดขาด แต่เราก็พบว่าครั้งแล้วครั้งเล่า อิสราเอลได้ตกลงไปสู่ความผิดพลาดในการสร้างภาพลักษณ์หรือ รูปเคารพขึ้ นและกล่าวว่า “สิ่งนี้ เป็นตัวแทนของพระเจ้า”
ผมเชื่อว่าคริสเตียนเองก็ท าสิ่งผิดพลาดเหมือนกับเรื่องนี้ที่พระเจ้าได้ทรงห้ามไว้คือ การใช้สถาบันเป็น สัญลักษณ์แทนพระกายของพระเยซูคริสต์ พระกายของพระองค์ไม่อาจถูกน าเสนอในลักษณะขององค์กรตาม แบบอย่างที่เราคุ้นเคยในวิถีของโลกได้ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่คริสเตียนพยายามท าเรื่องฝ่ ายวิญญาณให้เป็ นสิ่ง ที่มองเห็นและจับต้องได้คือพวกเขาพยายามสร้างองค์กรหรือสมาคมเพื่อผูกพันกันไว้ โดยเข้าใจว่าสิ่งนี้ สามารถแทนที่ความเป็ นเอกภาพและความสัมพันธ์ที่เหมาะสมในพระกายของพระเยซูคริสต์ได้ แต่พวกเขาก็ ล้มเหลวอยู่เสมอ
ยกตัวอย่างองค์กร The Salvation Army (เป็ นองค์กรคริสเตียนระดับนานาชาติ ที่ปฏิบัติภาระกิจเพื่ อ ความก้าวหน้าของคริสตศาสนา เพื่อการศึกษา การบรรเทาความยากจน และงานการกุศลอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือ ชุมชนของมนุษยชาติโดยรวม - ผู้แปล) (นี่ไม่ใช่เป็ นการวิพากย์วิจารณ์องค์กรแต่อย่างใด) ภายในองค์กร The Salvation Army นั้น มีความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างหนักแน่นคล้ายกับกองทัพทหาร นอกจากนี้ พวกเขา ยังแต่งกายด้วยเครื่องแบบอย่างเดียวกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกันที่มากขึ้ น เพื่อว่าเมื่อ คุณมองดูสมาชิก คุณก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าคนนั้นอยู่ใน The Salvation Army ภายในองค์กรแห่งนี้ มีทุกอย่างที่ มนุษย์สามารถท าได้เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพและเพื่อวางโครงสร้างขององค์กร ถึงกระนั้นก็ดี คนสองคนใน องค์กรนี้ ยังอาจมีความขัดแย้งกันได้ ดังนั้น สิ่งนี้จึงห่างไกลอย่างมากจากความเป็ นเอกภาพและความ ผสมผสานกลมกลืนที่แท้จริง เขาเหล่านั้นอาจอยู่ฝ่ ายตรงข้ามกันอย่างสิ้ นเชิงก็ได้ คนสองคนอาจอยู่ในองค์กร The Salvation Army เหมือนกัน โดยที่คนหนึ่งเป็ นผู้ที่กลับใจและบังเกิดใหม่แล้ว แต่อีกคนหนึ่งยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ก็ได้ พวกเขาไม่ได้อยู่ในบริบทฝ่ ายวิญญาณแบบเดียวกันด้วยซ ้า!
ยกตัวอย่างคริสตจักรแองกลิกันแห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งผมเองเติบโตมาจากที่นั่น คุณสามารถเป็ น สมาชิกของคริสตจักรแองกลิกัน และในเวลาเดียวกันยังเป็นคอมมิวนิสต์หรือโรมันคาทอลิกได้ด้วย พวกเขา ผูกพันกันโดยโครงสร้างแบบองค์กรเท่านั้น แต่ยังคงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันแบบคนละขั้ว บ้างก็ต่อต้านซึ่ง กันและกันอย่างสิ้ นเชิง บ้างก็แตกแยกกันอย่างแท้จริง ไม่มีความเป็ นเอกภาพใดๆ ในฝ่ ายวิญญาณเลย โครงสร้าง ของคริสตจักรกลายเป็นสิ่งที่ใช้แสดงออกภายนอกแทนความเป็ นจริงที่อยู่ภายใน
สิ่งที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งที่ผมมองเห็นคือ เรามักจะยอมรับว่าสิ่งที่ปรากฎภายนอกเป็ นสิ่งทดแทนสิ่งที่ อยู่ภายใน แล้วก็เพิกเฉยต่อสิ่งที่เป็ นจริงภายใน ผลที่เกิดขึ้ นคือ ทุกวันนี้ มีคริสเตียนมากมายในพระกายที่มี ความสัมพันธ์ไม่ถูกต้องต่อผู้อื่น โดยไม่ตระหนักว่ามีสิ่งผิดพลาดหรือสิ่งผิดปกติใดในชีวิตของพวกเขา
คืนหนึ่งของการจัดประชุม มีห้าคนออกมาด้านหน้าเพื่อรับการรักษา ผมได้รับการทรงน าให้ถามแต่ละ คนว่า “ในใจคุณยังไม่ให้อภัยหรือขุ่นเคืองใจกับใครหรือไม่?” สามในห้าคนตอบว่า “ใช่ ยังมีอยู่”
ผมตอบกลับไปว่า “คุณอยากให้ผมอธิษฐานเผื่อคุณจริงๆ หรือ? ผมสามารถท าตามที่ คุณต้องการได้ แต่คุณคิดว่าการอธิษฐานน้ีจะมีผลลัพธ์แบบใด?” และคุณรู้ไหมว่าพวกเขาพูดอย่างไร? “เราน่าจะออกไป จัดการทุกสิ่ งให้ถูกต้องก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ดีกว่า” ยอดเยี่ยมมากเลย! แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจจริงๆ คือ คนเหล่านี้ ไม่ตระหนักหรือรับรู้เลยว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง ท าไมพวกเขาจึงถูกหลอกเช่นนั้น? - เป็นเพราะว่า พวกเขายอมให้บางสิ่งที่เกิดขึ้ นภายนอกมาบดบังพวกเขาจากความเป็ นจริงที่อยู่ภายในนั่นเอง
หากเราจะมองดูสภาพภายในของพระกายของพระคริสต์ในปัจจุบัน เราคงจะตกตะลึงกับสิ่งที่เรา มองเห็น!
ข้อต่อ และ เส้นเอ็น
หากการรวมเป็ นหนึ่งเดียวกันภายนอก ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ฝ่ ายวิญญาณซึ่งอยู่ภายใน พระกายของพระคริสต์แล้ว อะไรล่ะ! คือสิ่งที่รักษาพระกายนั้นไว้ด้วยกัน? อะไรคือ ธรรมชาติที่แท้จริงและ แหล่งที่มาของความเป็นเอกภาพหรือการเป็นหนึ่งเดียวกันของเรา? เราพบค าตอบส าหรับค าถามที่ส าคัญอย่าง มากนี้ ได้จากข้อพระค า 2 ข้อในเอเฟซัสและโคโลสี
ในเอเฟซัส 4:16 เปาโลกล่าวถึงพระคริสต์ในฐานะเป็ นศีรษะของพระกาย “เน่ืองจากพระองค์น้ีเอง ร่างกายทั้งหมดจึงไดร้บั การเช่ือมและประสานเขา้ดว้ยกันโดยทุกๆ ขอ้ต่อท่ีประทานมานั้น และเม่ือแต่ละส่วนทา งานตาม หน้าที่แล้ว ก็ทา ใหร้า่ งกายเจรญิ และเสรมิ สรา้งตนเองข้นึ ดว้ยความรกั”
ในโคโลสี 2:19 ในบริบทที่คล้ายกัน เปาโลกล่าวถึงพระคริสต์ผู้ทรงเป็ นศีรษะ “.....ผู้ซ่ึงเป็นเหตุใหท้ัว่ ทั้ง รา่ งกายไดร้บัการบา รงุ เล้ียง และประสานเขา้ดว้ยกันโดยขอ้และเอ็นตา่ งๆ จึงไดเ้จรญิ ข้นึ ตามท่ีพระเจา้ทรงใหเ้จรญิ ข้นึ นั้น”
มีสองสิ่งที่เปาโลกล่าวว่า เป็ นสิ่งที่ยึดอวัยวะต่างๆ ของร่างกายไว้ให้เป็ นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือ ข้อต่อ และเส้นเอ็น เช่นเดียวกับที่ข้อต่อและเส้นเอ็นของร่างกายยึดอวัยวะต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน สองสิ่งนี้ ก็ยึดอวัยวะ ต่างๆ ของร่างกายฝ่ ายวิญญาณของพระคริสต์เข้าไว้เป็ นหนึ่งเดียวกันด้วย ข้อต่อและเส้นเอ็นเหล่านี้ คืออะไร? ผมขอแนะน าว่า ข้อต่อ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะต่างๆ ของพระกาย และเส้นเอ็น คือ ทัศนคติที่เขา ทั้งหลายมีต่อกันและกัน
แขนของมนุษย์ประกอบด้วยกระดูกสามท่อน แม้ว่าแต่ละท่อนจะแข็งแรงและสมบูรณ์ก็ตาม แต่การที่ แขนจะท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นขึ้ นอยู่กับ ข้อต่อ เช่น ข้อศอก กระดูกแขนแต่ละท่อนอาจมีสุขภาพ สมบูรณ์โดยตัวของมันเอง แต่แขนก็อาจไร้ประสิทธิภาพได้ ถ้าข้อต่อไม่ได้ท างานอย่างเหมาะสม สิ่งนี้ เป็ นจริง เช่นเดียวกันในพระกายของพระคริสต์ ความแน่วแน่ส่วนตัวของคุณไม่ใช่ทั้งหมดที่จ าเป็ นในการท าให้คุณเป็ น คนมีประสิทธิภาพ แต่ความสัมพันธ์ของคุณกับผู้อื่นคือ ข้อต่อ ที่เชื่อมคุณเข้ากับพระกายได้อย่างลงตัว และคุณ ไม่สามารถเป็นอวัยวะที่มีประสิทธิภาพได้ เว้นเสียแต่ว่าความสัมพันธ์ของคุณกับผู้อื่นเป็ นไปอย่างถูกต้อง
อีกครั้งหนึ่งในเอเฟซัสและโคโลสีที่เปาโลได้พูดถึงเส้นเอ็นที่ยิ่งใหญ่ซึ่งยึดทั้งร่างกายเข้าไว้ด้วยกัน ในเอเฟซัส 4:3 เปาโล กล่าวว่า ให้รักษา “ความเป็นน ้าหน่ึงใจเดียวกันท่ีมาจากพระวญิ ญาณนั้น โดยมีสันติภาพเป็น เครื่องผูกพัน” ค าว่า ผูกพัน และ เส้นเอ็น ในภาษากรีกเป็ นค าเดียวกัน และในโคโลสี 3:14 กล่าวว่า “แล้วจงสวม ความรักทบั ส่ิงเหลา่ น้ีทงั้หมด ความรักผูกพันทุกสิ่งไว้อย่างสมบูรณ์”— ซึ่งพยุงและรักษาร่างกายนี้ ไว้ด้วยกัน
เครื่องผูกพันหรือเส้นเอ็นที่ส าคัญที่สุดที่สามารถรักษาพระกายของพระคริสต์เข้าไว้ด้วยกันในความ เป็นหนึ่งเดียวที่แท้จริงคือ ความรัก เครื่องผูกพันที่สองคือ สันติสุข เราทั้งหมดได้รับการพยุงและรักษาไว้อย่าง สมบูรณ์เป็ นหนึ่งเดียวโดยสิ่งที่ผมขอเรียกว่า “ทัศนคติแห่งสันติสุขและความรัก” แต่หากไม่มีทัศนคติเช่นนี้ การท างานของร่างกายก็ต้องหยุดชะงักลง เมื่อเรามีความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องกับพี่น้องคริสเตียนของเรา พระกายก็ไม่สามารถท างานได้ และเราเองก็ไม่สามารถรับสิ่งที่ตัวเราต้องการได้ ไม่เพียงแต่เราปิ ดกั้นผู้อื่น จากการรับพระพรเท่านั้น แต่เรายังปิ ดกั้นตนเองด้วย อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ที่ผมได้รับผ่าน สถานการณ์ต่างๆ และผ่านกลุ่มต่างๆ มากมายนั้น มีคนมากกว่าครึ่งในกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าคริสตจักร มีทัศนคติและความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องกับผู้อื่น และความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้ นกับ สมาชิกในคริสตจักรเดียวกันนั่นเอง
มีครั้งหนึ่ง หลังจากเสร็จเทศนาในคริสตจักรเพ็นเทคอสแห่งหนึ่ง ซึ่งพระเจ้าทรงเคลื่อนไหวอย่างมาก ผมก็ไปเทศนาต่อที่คริสตจักรเพ็นเทคอสอีกแห่งหนึ่งด้วยค าเทศนาเรื่องเดียวกัน แต่ในคริสตจักรแห่งที่สองนี้ กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้ นเลย ผมคิดว่า มีอะไรผิดปกติ? คุณรู้ไหมว่าผมค้นพบอะไร? นี่เป็ นคริสตจักรที่มีผู้เข้าร่วม ประมาณ 400 คนเป็ นประจ าทุกวันอาทิตย์ แต่คริสตจักรกลับแบ่งเป็ นสองฝ่ ายจากตรงกลางห้อง คนที่อยู่ ฝั่งขวาของผมไม่พูดกับคนที่อยู่ฝั่งซ้ายมาห้าปีแล้ว เมื่อพวกเขาเจอกันบนถนน แต่ละคนก็จะเลี่ยงไปเดินอีกฟากหนึ่ง ของถนนเพื่อไม่ต้องทักทายกัน ดังนั้นส าหรับผมแล้วการเทศนากับคนเหล่านี้ ถือเป็ นการสิ้ นเปลืองลมหายใจ และเวลา ในเมื่อไม่มีโอกาสใหพ้ ระวิญญาณบริสุทธ์ิเคลื่อนไหวในคริสตจกัรน้ันได้เลย แต่สิ่งที่น่าขันคือ ผมได้ พบเหตุการณ์คล้ายๆ กันอีกหลายครั้ง และคนในคริสตจักรก็พร้อมที่จะกล่าวโทษว่าเป็ นความผิดของศิษยาภิบาล หรือพร้อมที่จะว่าจ้างนักประกาศอีกคนหนึ่งให้เข้ามาท างานแทน หรือท าอะไรก็ได้ ยกเว้นสิ่งเดียวที่พวกเขา ต้องท า แต่ไม่ได้ท าคือ การคืนดีกัน
ความสัมพันธ์ในครอบครัว
มันเป็ นข้อเท็จจริงของชีวิตที่มีความเป็ นไปได้และเป็ นประสบการณ์ที่เกิดขึ้ นได้บ่อย คือ ความสัมพันธ์ ที่อันตรายและเป็ นพิษภัยมากที่สุดมักเกิดขึ้ นกับคนที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุด ปัญหาความสัมพันธ์อย่างหนึ่งที่ พบได้บ่อย คือ ปัญหาของเยาวชนและผู้ปกครอง ผมกล้าพูดเลยว่าเยาวชนส่วนใหญ่ในประเทศสหรัฐมักจะ ต่อต้านหรือกบฏต่อพ่อแม่ในระดับใดระดับหนึ่ง และในหลายๆ กรณี ผู้ปกครองต้องยอมรับว่า ความผิดส่วนใหญ่ อยู่ที่พวกเขาเอง ดังนั้นปัญหาจึงไม่ใช่การละเลยของเยาวชนเท่านั้น แต่เป็นการละเลยของผู้ใหญ่ด้วย
อย่างไรก็ตาม ผมมักจะบอกกับเยาวชนเสมอว่า หากคุณมีความขุ่นเคืองใจ ความเกลียดชัง หรือความ กบฏในใจต่อพ่อแม่ของคุณ จ าไว้ว่าไม่ใช่พ่อแม่ของคุณนะที่ต้องรับความทุกข์ทรมานมากที่สุด-แต่คือตัวคุณเอง ผู้ที่รู้สึกขุ่นเคืองใจย่อมได้รับความทุกข์ทรมานมากกว่าผู้ที่ท าให้ขุ่นเคืองใจ ยิ่งไปกว่านั้น พระวจนะของพระเจ้า ได้กล่าวถึงบทบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาก ากับไว้ด้วยคือ “จงให้เกียรติบิดามารดา เพื่ อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุ ยืนยาวบนแผ่นดินโลก” (เอเฟซัส 6:2-3) คุณจะไม่มีทางได้ดีหากคุณไม่ให้เกียรติบิดามารดา มันเป็ นการขัดต่อ บทบัญญัติของพระเจ้า
ปัญหาของความสัมพันธ์อีกด้านหนึ่งที่พบได้อย่างแพร่หลายมากที่สุดคือ ความสัมพันธ์ของสามีและ ภรรยา สัดส่วนของสามีที่ขุ่นเคืองใจต่อภรรยา และที่ภรรยาขุ่นเคืองใจต่อสามีนั้นมีขนาดใหญ่มากอย่าง น่าประหลาดใจ
ให้เราย้อนกลับไปยังข้อความในตอนต้น “ถ้าพวกท่านสองคนจะร่วมใจกัน....” เห็นได้ชัดเจนว่าใครคือสองคน บนโลกที่ต้องร่วมใจกันหรือเห็นพ้องต้องกัน? คือสามีและภรรยานั่นเอง แล้วมีกี่คู่ที่ร่วมใจกันหรือเห็นพ้อง ต้องกันจริงๆ? ผมไม่อยากตอบในเรื่องนี้! มีผู้หญิงหลายคนที่ยุ่งอยู่กับกิจกรรมในคริสตจักร เพียงเพราะพวก เธอไม่เห็นพ้องต้องกันกับสามีของตน พวกเธอวิ่งไปที่คริสตจักร ไม่ใช่เพราะพวกเธอต้องการรับใช้พระเจ้า แต่เพราะ พวกเธอต้องการหนีจากปัญหาต่างๆ ในบ้านของตน
ผมจ าได้ว่าครั้งหนึ่งที่ผมได้อธิษฐานปลอดปล่อยหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งงานแล้ว หลังจากที่เธอได้รับ การปลดปล่อยที่ยอดเยี่ยมแล้ว เธอพูดว่า “โอ พี่ปร้ินซ์คะ ตอนน้ีดิฉันคิดว่า ดิฉันจะไปเป็นมิชชันนารีหรือ อย่างน้อยที่ สุดก็เป็นครูสอนรวีวารศึกษาในวันอาทิตย์ค่ะ!”
ผมบอกกับเธอว่า “น้องครับ ขอฟังผมสักครู่นะครับ พันธกิจที่ ส าคัญที่ สุดคือ การเป็นภรรยาดีที่ สุด เท่าที่ จะเป็นได้ให้กับสามี และการเป็นแม่ดีท่ีสุดเท่าท่ีจะเป็นไดใ้หก้ับลูกๆ ส่วนเร่ืองอ่ืนๆ นั้นถือเป็นเร่ืองรอง ขอให้จัดล าดับความส าคัญให้ถูกต้องนะครับ”
มีพี่น้องผู้หญิงหลายคนมาหาผมและพูดว่า “พ่ีปร้ินซค์ ะ ดิฉันไดร้บับพั ติศมาในพระวญิ ญาณบริสุทธ์ิแลว้ แต่สามีของดิฉันไม่เช่ือในเร่ืองน้ีค่ะ” ซึ่งปกติผมจะตอบว่า “แล้วคุณได้ส าแดงอะไรให้สามีเห็นเพื่อเขาจะเชื่ อใน เร่ืองน้ีหรือไม่? เช่น คุณได้เป็นภรรยาท่ีดีข้ึนซ่ึงเป็นผลจากการรบั บัพติศมาหรือไม่? บ้านของคุณกลายเป็น สถานที่ ที่ มีบรรยากาศของความหวานช่ืนข้ึนหรือไม่? มีบรรยากาศแห่งความรักเพ่ิมข้ึนหรือไม่? คุณได้ แสดงออกถึงความใส่ใจและความเห็นอกเห็นใจต่อสามีมากกว่าที่ คุณเคยท าหรือไม่? ถ้าไม่ ก็อย่าเรียกร้องให้ เขาเชื่ อในเรื่องบัพติศมาในพระวิญญาณเลย เพราะเขาจะไม่เชื่ อแน่” ถ้าการรับบัพติศมาท าให้คุณเอาแต่วิ่งไป วิ่งมาตามการประชุมต่างๆ และทิ้ งสามีของคุณไว้ตามล าพัง คุณก็อาจต้องแบกภาระนี้ไปตลอดชีวิตกับสามีที่ ไม่เชื่อในสิ่งที่คุณเชื่อ
ถ้อยค าสุดท้ายในพันธสัญญาเดิมเป็ นค าสาปแช่ง และคุณรู้หรือไม่ว่าต้นเหตุของค าสาบแช่งนั้นคือ อะไร? มีค าอธิบายอยู่ในข้อพระคัมภีร์ก่อนวลีสุดท้ายว่า “นี่ แน่ะ เราจะส่งเอลียาห์ผู้เผยพระวจนะ มายังเจ้าก่อนวันแห่ง พระยาห์เวห์ คือวันที่ ใหญ่ยิ่งและน่าสะพรึงกลัวจะมาถึง และท่านผูน้ัน้ จะท าใหจ้ิตใจของพ่อหันไปหาลูก และจิตใจของลูก หันไปหาพ่อ ไม่อย่างนั้น เราจะมาโจมตีแผ่นดินนั้นดว้ยค าสาปแช่ง” (มาลาคี 4:5-6) พระวิญญาณบริสุทธ์ิทรงรู้ ล่วงหน้าถึงสภาวะต่างๆ ที่จะเกิดขึ้ นในช่วงท้ายของยุคนี้ อย่างแน่นอน และพระองค์ทรงชี้ ให้เห็นถึงสิ่งที่เป็น ปัญหาอันดับหนึ่งของประเทศสหรัฐอย่างไม่ผิดพลาดว่า — ที่บ้านหรือในครอบครัว ที่ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ แตกสลายเพราะการกบฏของลูกๆ มีภรรยาและสามีซึ่งไม่ลงรอยกัน และต่างคนต่างไปตามทางของตนเอง แล้วละเลยการดูแลเอาใจใส่ลูกๆ
พระยาห์เวห์ตรัสว่า “เราจะซ่อนส่ิงซ่ึงเราจะท านั้นไม่ให้อับราฮัมรูห้ รือ? แน่ทีเดียวอับราฮัมจะเป็ น ประชาชาติใหญ่โตและมีกา ลงัมาก และประชาชาติทงั้หมดในโลกจะไดร้บัพรก็เพราะเขา เพราะเราเลือกเขาแล้ว เพื่อเขาจะได้ก าชับลูกหลาน และครอบครัวที่สืบต่อมาของเขา ให้รักษาพระมรรคาของพระยาห์เวห์ ให้ท าความชอบธรรมและความยุติธรรม เพื่อพระยาห์เวห์จะประทานแก่อับราฮัม ตามที่พระองค์ ตรัสไว้แก่เขา”’ (ปฐมกาล 18:17-19)
พระเจ้าทรงเลือกอับราฮัม เพราะพระองค์ทรงสามารถไว้วางใจเขาได้ในเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับ ครอบครัว เพื่อที่เขาจะก าชับลูกหลานและคนในครัวเรือนของเขาให้รักษาทางของพระเจ้าไว้
สิ่งที่ตรงกันข้ามก็เป็ นจริงด้วยเช่นกันคือ ประเทศใดก็ตามที่สามีและพ่อล้มเหลวในการท าหน้าที่ของ ตนที่มีต่อครอบครัวก็จะไม่สามารถคงความเป็ นประเทศที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งได้ สิ่งนี้ เป็นจริงส าหรับประเทศ สหรัฐ หากชีวิตครอบครัวของคนในประเทศนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ประเทศก็ไร้ซึ่งความหวัง
นี่เป็ นสัญญาณบอกเหตุที่ชัดเจนว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ สิ่งเลวร้ายก็จะเกิดขึ้ นอย่างแน่นอน ผมขอยืนยันว่า ผู้ที่เต็มล้นในพระวิญญาณและมีถ้อยค าแห่งข่าวประเสริฐที่สมบูรณ์ ควรเป็ นผู้ที่มีค าตอบ ส าหรับปัญหานี้ ถ้าเราไม่มีค าตอบ แล้วโลกนี้ จะหาค าตอบได้จากที่ใด?
มันเป็ นเรื่องน่าเศร้าที่มีบ้านหรือครอบครัวมากมายที่บอกว่าตนเอง'“เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ” แต่กลับไม่มีความปรองดองกันระหว่างสามีและภรรยา แต่สิ่งที่ผมเข้าใจก็คือ ผู้ที่ได้รับการเจิมจากพระวิญญาณ บริสุทธ์ิย่อมมีสิ่งที่จะบอกกับคนในยุคสมัยของตน ผมไม่เชื่อว่า เราต้องมานั่งกอดอกแล้วพูดว่า “สถานการณ์ มันเกินควบคุม ไม่สามารถท าอะไรได้อีกแล้ว” ผมเชื่อว่ามีวิธีแก้ไขปัญหาอยู่ภายในคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ ผมเชื่อว่าคริสตจักรคือ เกลือแห่งแผ่นดินโลก คือแสงสว่างแห่งแผ่นดินโลก แต่ “ถา้เกลือนั้นหมดรสเค็มไปแลว้ [คือ ถ้ามันไม่สามารถท าให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ไม่ทา ใหโ้ลกดีข้ึน หรือไม่สามารถยบัยงั้ความเส่ือมทรามได]้... ตงั้แต่ นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแตจ่ ะถกู ท้ิงเสียใหค้ นเหยยีบยา่ ” (มัทธิว 5:13)
นี่เป็ นทิศทางที่คริสตจักรในอเมริกาก าลังมุ่งไป แต่มันไม่จ าเป็ นต้องเป็ นแบบนี้ก็ได้ทางแก้ไขก็คือ กลับใจใหม่ แล้วท าสิ่งที่ถูกต้องกับพระเจ้า และท าสิ่งที่ถูกต้องกับคนในบ้านหรือในครอบครัวของคุณ อย่าออกไปเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาให้กับโลกนี้ ในเมื่อมันยังใช้ไม่ได้กับในบ้านของคุณเอง ถ้าคุณมีแต่ ความทุกข์ทรมานและความแตกแยกอยู่ในชีวิต และไม่มีสิ่งใดที่ดีกว่านี้ ก็อย่าไปแบ่งปันอะไรเลยจะดีกว่า!
คริสตจักรมัวแต่จดจ่ออยู่กับการประกาศจนสุดปลายแผ่นดินโลก จนมองไม่เห็นสิ่งที่ก าลังเกิดขึ้ น ที่ปลายจมูก (สิ่งที่ ใกล้ตัวแต่มองไม่เห็น - ผู้แปล) สิ่งแรกที่เราต้องท าคือ ท าให้ถูกต้องกับคนที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุด ในบ้านหรือในครอบครัว ขอให้คืนดีกัน ปล่อยวางความขมขื่น ความขุ่นเคืองใจ ความเกลียดชังของคุณลง - เริ่มตน้จากที่จุดน้ี
รหัส: TL-L055-100-THA