สมบตัิล้ำ ค่ำของพระเจ้ำ

Teaching Legacy Letter
*First Published: 2004
*Last Updated: ธันวาคม 2025
9 min read
ความกลัวเป็ นค าที่มีพลังอ านาจ ความเข้าใจหรือความเชื่อที่มีต่อความกลัวกระตุ้นให้เกิดการ ตอบสนองของมนุษย์ทุกคนไม่มากก็น้อย – ขึ้นอยู่กบั ชนิดของความกลวัที่ถกู หยิบยกขึ้นมาพูดถึง ความกลวับางชนิดก่อผลเสียต่อชีวิตและส่งผลให้มนุษย์มีพฤติกรรมที่เป็นลบ เช่น กลวัความมืด กลัว การโดยสารเครื่องบิน หรือกลวัมนุษย์อย่างไรก็ดี มีความกลัวชนิดหนึ่งที่ไม่ส่งผลเสียต่อชีวิต แต่กลับ จะเป็ นกุญแจส าคัญที่จะน าไปสู่ความสา เรจ็ในชีวิตด้วย ความกลวัที่ว่านี้เป็นความกลวัที่เราทุกคนพึง ปลูกฝังและพฒั นาให้เติบโตมากขึ้นในชีวิตของเรา ผมกา ลงัพูดถึงความเกรงกลวัหรือความยา เกรงที่มี ต่อองค์พระผู้เป็ นเจ้า (พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับคิงเจมส์และอมตธรรมร่วมสมัยให้ความหมายของค าว่า “Fear of God” ไว้ว่า “ความย าเกรงพระเจ้า” - ผู้แปล)
แต่กระนั้น เรื่องความย าเกรงพระเจ้ามักจะไม่ใช่หัวข้อแรกๆ ที่เราอยากเรียนรู้สักเท่าไหร่ คุณอาจจะพูด ว่า “ฉันไม่ชอบความกลัว ฉันไม่อยากได้ยินเรื่องความกลัว เพราะมันไม่เป็นพรต่อชีวิต” แต่ขอให้ผมได้หนุนใจ คุณให้คิดทบทวนมุมมองเรื่องนี้ใหม่ ในพระธรรมอิสยาห์33:6 มีค าแปดค าที่จะพลิกผันชีวิตของคุณอย่าง สิ้นเชิง: “ความย าเกรงพระเยโฮวาห์เป็นทรัพย์สมบัติของเขา” (ในพระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษ ประโยคนี้มี 8 ค า “The fear of the LORD is his treasure” - ผู้แปล) พระธรรมข้อนี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความย าเกรงพระเจ้าไม่ใช่ เรื่องของการถูกดูหมิ่นดูแคลน แต่มันคือขุมทรัพย์ที่พระเจ้าต้องการมอบให้กับประชากรของพระองค์
ดูเหมือนว่าคริสเตียนหลายคนเชื่อว่าความย าเกรงพระเจ้าเป็นเพียงบทบัญญัติในพระคัมภีร์ภาคพันธ สัญญาเดิมเท่านั้น ผมเป็นพยานได้ว่าคริสเตียนหลายๆ คนประพฤติตัวราวกับว่าไม่มีความจ าเป็นใดๆ เลยที่ พวกเขาจะต้องย าเกรงพระเจ้า – พวกเขาคิดว่านั่นเป็นความเชื่อที่ล้าสมัยไปแล้ว ซึ่งพระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวไว้ เช่นนั้น อีกทั้งยังเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องอย่างมาก ให้เรามาดูข้อเท็จจริงสองสามข้อซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความ ย าเกรงพระเจ้าด้วยกัน ในสดุดี 19:9 กล่าวว่า “ความย าเกรงพระเยโฮวาห์นั้นสะอาดหมดจดถาวรเป็นนิตย์” – ไม่มีเวลาใดเลยที่ความส าคัญของความย าเกรงพระเจ้าจะหยุดชะงักไป เพราะความย าเกรงพระเจ้าถาวรเป็น นิตย์ ในสุภาษิต 23:17 กล่าวว่า “แต่จงย าเกรงพระเยโฮวาห์วันยังค ่า” ดังนั้น ความย าเกรงพระเจ้าจึงด าเนินไป อย่างต่อเนื่องตลอดเวลาวันคืน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีแม้สักเสี้ยววินาทีใดในชีวิต ที่คุณไม่จ าเป็นต้องย า เกรงพระเจ้า ตราบที่คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณต้องย าเกรงพระเจ้า
หลายคนมองความหมายของความย าเกรงพระเจ้าในแง่ลบมาก เพื่อที่จะช่วยให้เราเข้าใจความหมาย มากขึ้น ผมจะเริ่มต้นด้วยการตัดสิ่งที่ไม่ใช่ความหมายของความย าเกรงพระเจ้าออกไปก่อน ประการแรกคือ ความย าเกรงพระเจ้าไม่ใช่ความกลัวชนิดเดียวกับความกลัวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มัน ไม่ใช่ความกลัวแบบเดียวกับตอนที่คุณประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนขณะที่รถของคุณก าลังจะพุ่งชน ประการที่ สอง ความย าเกรงพระเจ้าไม่ใช่ความกลัวที่มาจากการครอบง าของวิญญาณชั่ว ไม่ใช่ความกลัวที่ได้รับอิทธิพล จากวิญญาณแห่งความกลัวเช่น ภูตผี ปีศาจ ตลอดเวลาหลายสิบปีในชีวิตการรับใช้ของผม พระเจ้าทรงใช้ผมใน การปลดปล่อยหลายร้อยคนให้เป็นอิสระจากวิญญาณแห่งความกลัว แต่นั่นไม่ใช่วิญญาณแห่งความเกรงกลัว หรือความย าเกรงพระเจ้า
ใน 2 ทิโมธี1:7 เปาโลกล่าวว่า “เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา” และใน 1 ยอห์น 4:18 กล่าวว่า “ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย ด้วยว่าความกลัว ท าให้ทุกข์ทรมาน” ความกลัวที่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานมาจากวิญญาณชั่ว พวกมันไม่มีสิทธิมีส่วนใดๆ ใน ชีวิตของผู้ที่ติดตามพระคริสต์ วิธีที่ดีที่สุดในการขจัดรักษาความกลัวซึ่งสร้างความเจ็บปวดทรมานทั้งใจและกาย ก็คือ “การย าเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริง”
และความย าเกรงพระเจ้าก็ไม่ใช่ความกลัวชนิดเดียวกับความกลัวมนุษย์ แท้จริงแล้ว ความย าเกรงพระ เจ้าจะปลดปล่อยเราจากความกลัวมนุษย์ และเสริมก าลังให้เราสามารถเคารพและให้เกียรติแด่พระองค์
หนึ่งในค าศัพท์ภาษาอังกฤษที่สามารถอธิบายถึงความย าเกรงพระเจ้าได้ดีที่สุดคือค าว่า “Awe” หรือ “ความน่าเกรงขาม” (เป็นความย าเกรงควบคู่ไปกับความเกรงกลัว – ผู้แปล) ซึ่งค าว่า “Awesome” เป็นค าคุณศัพท์ที่มา จากค านาม “Awe” ซึ่งแปลว่าน่าเกรงขามนั่นเอง ความรู้สึกเกรงขามหรือความรู้สึกย าเกรงและเกรงกลัวเป็น ปฏิกิริยาตอบสนองของเราต่อพระสง่าราศี เดชานุภาพ และความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
ค าศัพท์อีกหนึ่งค าที่ผมจะใช้ในการอธิบายความหมายของค าว่าความย าเกรงพระเจ้าคือค าว่าการ เคารพนับถืออย่างลึกซึ้ง (Reverence) การเคารพนับถืออย่างลึกซึ้งนี้คือท่าทีที่เราตอบสนองหลังจากที่เราได้รับ การส าแดงจากพระเจ้า เราจะไม่สามารถแสดงท่าทีแห่งความเคารพนับถืออย่างลึกซึ้งเช่นนี้ได้โดยปราศจากการ ส าแดงที่มาจากพระเจ้า ผมมีความเชื่อว่า เมื่อพระเจ้าทรงส าแดงพระองค์เองแก่เราแล้ว ท่าทีที่เหมาะสมที่สุดที่ เราควรตอบสนองต่อพระองค์คือ เคารพนับถือพระองค์อย่างลึกซึ้ง
ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นลักษณะท่าทีที่มาพร้อมกับการเคารพนับถืออย่างลึกซึ้ง ความอ่อนน้อมถ่อม ตนเป็นทัศนคติที่แสดงถึงความย าเกรงพระเจ้าในชีวิตของเรา ท่าทีอวดเบ่ง หยิ่งยโส พึ่งพาตนเอง และยกย่อง เชิดชูตนเอง (อย่างที่หลายคนในพวกเราไม่ควรจะเป็นอยู่นั้น) เป็นท่าทีที่ไม่มีความย าเกรงพระเจ้าอยู่ภายใน ไม่มีความย าเกรงพระเจ้าอยู่ในผู้ที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นเลย:
ความจริงอีกประการหนึ่งที่ถูกเปิดเผยผ่านพระวจนะของพระเจ้าก็คือ สิ่งที่คุณย าเกรงหรือเกรงกลัว สามารถกลายเป็นพระเจ้าของคุณได้ในปฐมกาลบทที่ 31 ยาโคบพูดกับลาบันผู้เป็นพ่อตาว่า “ท่านกระท าต่อ ข้าพเจ้าอย่างไม่ถูกต้อง แต่พระเจ้าทรงดูแลข้าพเจ้า” ในปฐมกาล 31:42 ยาโคบกล่าวว่า:
“ถ้าแม้นพระเจ้าของบิดาข้าพเจ้า พระเจ้าของอับราฮัมและซึ่งอิสอัคย าเกรง ไม่ทรงสถิตอยู่กับข้าพเจ้าแล้ว ครั้ง นี้ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปตัวเปล่าเป็นแน่ พระเจ้าทรงเห็นความทุกข์ใจของข้าพเจ้าและการงานตรากตร าที่มือ ข้าพเจ้าท า จึงทรงห้ามท่านเมื่อคืนวานนี้"
ยาโคบกล่าวถึงพระเจ้าในฐานะ “พระเจ้าของอับราฮัม และผู้ที่อิสอัคย าเกรง” หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่ อิสอัคย าเกรงคือพระเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ และพระเจ้าพระองค์นี้ทรงเป็นพระเจ้าของเขาด้วย แล้วยาโคบ กล่าวในปฐมกาล 31:53 ว่า:
“ให้พระเจ้าของอับราฮัมและพระเจ้าของนาโฮร์ ซึ่งเป็นพระเจ้าของบิดาของท่านทรงตัดสินความระหว่างเรา” ยาโคบก็ปฏิญาณโดยอ้างถึงผู้ที่อิสอัคบิดาของตนย าเกรง”
สิ่งที่ยาโคบเกรงกลัวหรือย าเกรงนั้นก็คือพระเจ้าของเขา ในท านองเดียวกัน สิ่งที่คุณกลัวเกรงนั่นแหละ เป็นพระเจ้าของคุณ หากคุณกลัวเกรงความคิดเห็นของใคร คนนั้นก็คือพระเจ้าของคุณ หากคุณกลัวความ ยากจน ความยากจนก็คือพระเจ้าของคุณ หากคุณกลัวโรคภัยไข้เจ็บ โรคภัยไข้เจ็บก็คือพระเจ้าของคุณ สิ่งใดก็ ตามที่คุณกลัวเกรง สิ่งนั้นก็คือพระเจ้าของคุณ คุณเกรงกลัวและย าเกรงพระเจ้าหรือไม่? พระองค์คือองค์พระผู้ เป็นเจ้าของคุณหรือไม่?
มุมมองของพระเยซูคริสต์
มุมมองของพระเยซูคริสต์การเรียนรู้เรื่องความย าเกรงพระเจ้าผ่านชีวิตของพระเยซูจะให้ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่เราอย่าง มหาศาล พระเยซูทรงเป็นพระบุตรที่พระบิดาทรงรักยิ่ง พระองค์ทรงกระท าแต่สิ่งอันเป็นที่พอพระทัยพระบิดา ตลอดวันคืนชีวิตของพระองค์ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้กล่าวถึงการเจิมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นการบ่ง ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระเยซูคือ “พระเมสสิยาห์” – ผู้ได้รับการเจิมตั้งไว้ ผู้ที่อิสราเอลทุกคนเฝ้ารอคอย – ผู้ เผยพระวจนะอิสยาห์ได้อธิบายลักษณะเฉพาะ 7 ประการของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทับอยู่ในชีวิตของพระ เยซูคริสต์ ในอิสยาห์11:1-2 ดังนี้:
“จะมีหน่อแตกออกมาจากตอแห่งเจสซี
จากข้อพระคัมภีร์ข้างต้น เราจะเห็นการส าแดงลักษณะเฉพาะทั้ง 7 ประการของพระวิญญาณบริสุทธิ์ – พระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า ลักษณะเฉพาะประการแรกคือ ทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า กล่าวคือ พระ วิญญาณทรงตรัสด้วยพระองค์เองโดยตรงในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เช่น ในกิจการ 13:2 “พระวิญญาณ บริสุทธิ์ตรัสว่า “จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้ส าหรับงานที่เราเรียกให้พวกเขาท านั้น” เราจะเห็นได้ว่าพระ วิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับพวกเขาโดยตรงในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้า
ลักษณะเฉพาะประการต่อมาคือ พระวิญญาณแห่งปัญญา พระวิญญาณแห่งความเข้าใจ พระวิญญาณ แห่งการวินิจฉัย พระวิญญาณแห่งอานุภาพ พระวิญญาณแห่งความรู้ และประการที่เจ็ดคือ พระวิญญาณแห่ง ความย าเกรงพระเจ้า ลักษณะเฉพาะประการสุดท้ายของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่บ่งชี้ชัดว่า พระเยซูคริสต์คือพระ เมสสิยาห์และทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระบิดาคือ ความย าเกรงพระเจ้า ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะที่ส าคัญ อย่างยิ่ง พระธรรมอิสยาห์11:3 บันทึกต่อไปอีกว่า
“ความชื่นชอบของท่านคือความย าเกรงพระยาห์เวห์ ท่านจะไม่พิพากษาตามสิ่งที่ตาท่านได้เห็น หรือตัดสินตามสิ่งที่หูท่านได้ยิน” (พระคัมภีร์ภาษาไทยฉบับมาตรฐาน 2011)
ดังนั้น การเจิมของพระวิญญาณทั้งเจ็ดเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าพระเยซูทรงถูกก าหนดไว้ล่วงหน้าให้เป็นพระ เมสสิยาห์ การเจิมล าดับที่เจ็ดซึ่งเป็นการเจิมล าดับสุดท้ายคือ ความย าเกรงพระเจ้า วรรคถัดไปในพระคัมภีร์ข้อ นี้กล่าวว่า “ความชื่นชอบของท่านคือความย าเกรงพระยาห์เวห์”
แน่นอนที่สุดว่า ไม่มีใครที่จะมีคุณสมบัติเทียบเทียมพระเยซูได้เลย ถ้าพระบุตรองค์เดียวผู้เป็นที่รักยิ่ง ของพระบิดา – ผู้เป็นพระเมสสิยาห์และพระผู้ไถ่บาปของมวลมนุษย์ ยังทรงถูกก าหนดไว้ให้มีพระลักษณะแห่ง ความย าเกรงพระเจ้า และถ้าพระองค์ทรงปีติยินดีในความย าเกรงพระเจ้า แล้วคุณกับผมเป็นใครกันเล่าที่จะกล้า พูดว่าเราไม่จ าเป็นต้องย าเกรงพระเจ้า?
เราต้องเรียนรู้
ให้เรามาพิจารณาเงื่อนไขที่เราต้องปฏิบัติตามเพื่อที่เราจะมีใจย าเกรงพระเจ้า ในสดุดี 34:11 พระ วิญญาณบริสุทธิ์ก าลังตรัส พระองค์ตรัสว่า:
“มาเถิด ลูกเอ๋ย มาฟังเรา เราจะสอนเจ้าถึงความย าเกรงพระยาห์เวห์”
ความย าเกรงพระเจ้าเป็นเรื่องที่จะต้องมีการสอน ถ้าเราตั้งใจฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์จะทรง สอนเราด้วยพระองค์เอง แต่ถ้าเราไม่ฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ก็จะไม่ทรงสอนเรา ในสดุดี 34:12-13 พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอธิบายต่อไปถึงคุณลักษณะที่เราจะต้องมีเพื่อจะได้เข้าส่วนในประสบการณ์แห่งความ ย าเกรงพระเจ้า:
“ผู้ใดปรารถนาชีวิต
ข้อบ่งชี้แรกที่จะเผยให้เห็นว่าบุคคลหนึ่งมีความย าเกรงพระเจ้ามากน้อยเพียงใดนั้นก็คือค าพูดของเขา – เขาใช้ปากของเขาอย่างไร ให้เราตั้งค าถามกับตนเองแบบตรงไปตรงมาว่า: วิธีใช้ค าพูดของเราแสดงออกถึง ความย าเกรงพระเจ้าหรือไม่? มีบ้างไหมที่เราเอ่ยค าที่แสดงถึงความหยิ่งยโส ยกย่องตนเอง ขลาดกลัว ร าคาญ ใจร้อน และไม่เต็มใจรับการตักเตือน? ถ้อยค าลักษณะนี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความไม่ย าเกรงพระเจ้า
ผมมีความประทับใจอย่างลึกซึ้งในความจริงที่ว่า เราต้องเลือกที่จะย าเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระ ธรรมสุภาษิตบทที่ 1 พระเจ้าตรัสกับประชากรที่ปฏิเสธพระองค์ ทรงตรัสถ้อยค าที่ฟังแล้วน่าสะพรึงกลัวเลย ทีเดียว หลายครั้งเราไม่ได้ตระหนักถึงความหนักแน่นเฉียบขาดของพระเจ้า เราจินตนาการไปว่าพระเจ้าทรง เป็นชายชราบนสวรรค์ผู้สุภาพ อ่อนโยน อบอุ่น ผู้ที่ไม่เคยกล่าวค าที่ไม่น่าฟัง ไม่รื่นหู หรือไม่น่าชื่นใจแม้สักค า เดียว และมีแต่จะโอบกอดเราไว้ตลอดเวลา ทว่านั่นไม่ใช่การรับรู้พระองค์ในทุกทาง ให้เรามาใคร่ครวญสิ่งที่ พระองค์ตรัสในสุภาษิต 1:25-29 ด้วยกัน:
“เจ้ามิได้รับรู้ในบรรดาค าแนะน าของเรา
พระเจ้าทรงตรัสว่า พระองค์จะเยาะเย้ยเมื่อความหวาดกลัวลนลานเข้ามา พระเจ้าทรงตรัสว่า พระองค์ จะไม่ตอบเมื่อเขาร้องทูล สองวรรคสุดท้ายได้อธิบายเหตุผลที่พระองค์ทรงกระท าเช่นนั้นไว้อย่างชัดเจนว่า: เพราะประชากรของพระองค์เกลียดชังความรู้ พวกเขามิได้เลือกเอาความย าเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า มีสัญญาณชี้ ชัดว่าพระเจ้าจะไม่ทรงยับยั้งการพิพากษาเหนือชีวิตของเราถ้าเราปฏิเสธที่จะย าเกรงพระองค์ สุภาษิต 1:7 กล่าวไว้ว่า:
“ความย าเกรงพระเยโฮวาห์เป็นบ่อเกิดของความรู้ คนโง่ย่อมดูหมิ่นปัญญาและค าสั ่งสอน”
หากเรารับเอาทัศนคติที่ดูหมิ่นเหยียดหยามความย าเกรงพระเจ้า ก็เท่ากับเป็นการประจานความโง่ เขลาของตนเอง ซึ่งพระธรรมสุภาษิต 3:7 เตือนเราไว้ว่า:
“อย่าท าตัวฉลาดตามสายตาของตนเอง จงย าเกรงพระเยโฮวาห์ และออกไปเสียจากความชั ่วร้าย”
เราต้องไม่ไว้ใจในสติปัญญาของตน หากเราเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเองและมั่นใจว่าเรามีค าตอบ ส าหรับทุกๆ สิ่งแล้ว เราก็ไม่เหลือช่องว่างใดๆ ในชีวิตให้กับความย าเกรงพระเจ้าเลย
“ออกไปเสียจากความชั่วร้าย” เป็นอีกค าหนึ่งที่พระคัมภีร์ข้อนี้กล่าวไว้เป็นค าเตือนว่าเราต้องไม่มีส่วน ร่วมกับความชั่วร้ายทุกชนิด และเราต้องย าเกรงพระเจ้า หากเราต้องการที่จะมีชีวิตที่ย าเกรงพระเจ้าแล้วละก็ เราต้องละทิ้งความชั่วทุกรูปแบบ เราไม่สามารถน าความชั่วร้ายและความย าเกรงพระเจ้ามาปะปนกันได้ และ ต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งเท่านั้น เราก าลังเตรียมพื้นที่ในชีวิตของเราไว้ส าหรับสิ่งใดระหว่าง: ความ ย าเกรงพระเจ้า หรือ สิ่งสารพันอันชั่วร้าย?
รหัส: TL-L045-100-THA