ใจที่ซื่อตรงต่อพระเจ้า (ตอนที่ 1)

Teaching Legacy Letter
*First Published: 2001
*Last Updated: ธันวาคม 2025
9 min read
“เพราะว่าพระเนตรของพระยาห์เวห์สอดส่องอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งหมด เพื่อให้กำลังกับคนเหล่านั้นที่จริงใจต่อพระองค์…..” (2 พงศาวดาร 16:9 ฉบับมาตรฐาน)
พระวิญญาณของพระเจ้าทรงกำลังเคลื่อนไปมาทั่วทั้งแผ่นดินโลกเพื่อแสวงหาบุคคลบางประเภท คือ ผู้ที่มีใจซื่อตรงต่อพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพบบุคคลเช่นนั้น พระเจ้าทรงปิติยินดีที่จะทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์เพื่อเขา โดยประทานการสำแดงฤทธิ์เดชและความโปรดปรานอย่างเปิดเผยในชีวิตและพันธกิจของบุคคลนั้น พระองค์ทรงกำลังรอคอยที่จะเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยด้วยฤทธิ์เดชและพระพร
ใจที่ซื่อตรงต่อพระเจ้า
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงบุคคลสองท่านที่มีใจเช่นนี้ คือ อับราฮัมและโยบ ในปฐมกาล 17:1 (ฉบับมาตรฐาน) กล่าวถึงบททดสอบที่อับราฮัมได้รับว่า “เมื่ออายุอับรามได้ 99 ปี พระยาเวห์ทรงปรากฏแก่อับรามและตรัสแก่ท่านว่า ‘เราเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จงดำเนินอยู่ต่อหน้าเราและเป็นคนดีพร้อม [หรือมีใจที่ซื่อตรง]’” บัดนี้ อับราฮัมได้ดำเนินชีวิตกับพระเจ้ามาถึงยี่สิบสี่ปีแล้ว การทรงเรียกของพระเจ้ามาถึงอับราฮัมเมื่อท่านอายุได้เจ็ดสิบห้าปี แต่บัดนี้ท่านกำลังมาถึงจุดสูงสุดของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นจุดที่พระเจ้าจะทรงทำให้พระสัญญาที่พระองค์ทรงใช้เพื่อนำอับราฮัมออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดียเมื่อหลายปีก่อนนั้น สำเร็จอย่างรุ่งโรจน์และน่าอัศจรรย์ อับราฮัมได้เผชิญกับบททดสอบใหม่จากพระเจ้า กล่าวโดยสรุป คือ พระเจ้ากำลังตรัสว่า “ตั้งแต่นี้ไป เราจะจับจ้องเจ้าเป็นพิเศษ เราจะเฝ้าดูทุกย่างก้าวของเจ้า เราจะฟังทุกถ้อยคำที่เจ้าพูด และเราขอให้ทุกสิ่งที่เจ้าทำ จงทำด้วยท่าทีของการเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์ ด้วยความเชื่อ และด้วยความมุ่งมั่นที่มีต่อเรา”
When Abram was ninety-nine years old, the Lord appeared to Abram and said to him, "I am Almighty God; walk before Me and be blameless [or perfect].” Abram had walked with God for twenty-four years; the call of God came to him when he was seventy-five years old. But now he was reaching the climax of his spiritual growth—that place where God was going to fulfill in a glorious and wonderful way the promises by which he had drawn Abram out of Ur of the Chaldees many years previously. Abram was confronted with a fresh challenge from God. In effect, God was saying, “From now on My eyes are going to be upon you in a very special way. I am going to watch every move you make. I am going to hear every word you speak. And I ask that everything you do be done in an attitude of perfect obedience, faith, and commitment toward Me.”
อับราฮัมเป็นบิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ (ดูโรม 4:11-12) กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ชีวิตและความเชื่อของท่านเป็นแบบอย่างแก่ผู้เชื่อทุกคน ผมเชื่อว่าข้อกำหนดของพระเจ้าสำหรับเราแต่ละคนนั้น ได้ถูกกล่าวไว้ในพระดำรัสที่ตรัสกับอับราฮัมว่า “จงดำเนินอยู่ต่อหน้าเราและเป็นคนดีพร้อม (หรือมีใจที่ซื่อตรง) เราจะทำพันธสัญญาของเราระหว่างเรากับเจ้า เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากมายมหาศาล" (ปฐมกาล 17:1-2 ฉบับมาตรฐาน - ผู้แปล)
เราทุกคนกำลังมาถึงจุดแห่งความสำเร็จอันบริบูรณ์ของพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับทุกยุคทุกสมัย และข่าวสารของพระเจ้าสำหรับทุกคนที่กำลังจะเข้ามามีส่วนในสิ่งที่พระเจ้าทรงกำลังกระทำอยู่ นั่นคือ ‘จงดำเนินอยู่ต่อหน้าเราและเป็นคนดีพร้อม’"
ในพระธรรมโยบ เราพบชายอีกท่านหนึ่งที่มีใจซื่อตรงต่อพระเจ้า เพื่อนๆ ของโยบไม่ได้พูดถึงเขาในทางที่ดีนัก แต่ผมสนใจในสิ่งที่พระเจ้าตรัสถึงโยบมากกว่า
“เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ในแผ่นดินโลกไม่มีใครเหมือนเขา เป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหันจากความชั่วร้าย?" (โยบ 1:8 ฉบับมาตรฐาน)
ดังนั้น เราจึงสามารถกล่าวได้ว่า ความดีพร้อมต่อพระเจ้า (หรือความซื่อตรงต่อพระเจ้า) ประกอบด้วย ท่าทีที่ถูกต้องต่อพระเจ้า และท่าทีที่ถูกต้องต่อความชั่วร้าย ไม่มีความเป็นกลางในความดีพร้อมต่อพระเจ้า คือ คุณจะไม่ประนีประนอมกับสิ่งใดที่ไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์ คุณมุ่งมั่นที่จะเชื่อฟังอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม และขอให้ระลึกไว้ว่า การที่จะได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้านั้นต้องแลกมาด้วยบางสิ่ง!
หากเราอ่านพระธรรมพงศ์กษัตริย์และพงศาวดาร เราจะเห็นว่า กษัตริย์เหล่านั้นได้รับการประเมินโดยหลักแล้วว่า ใจของท่านซื่อตรงต่อพระเจ้าหรือไม่ มีการกล่าวถึงอาสา เยโฮชาฟัท เฮเซคียาห์ และท่านอื่นๆ ว่า ท่านเหล่านั้นมีใจที่ซื่อตรงต่อพระเจ้า แต่ตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ของบุรุษผู้มีใจที่ซื่อตรงต่อพระเจ้า คือ ดาวิด ท่านเป็นบรรทัดฐานที่ใช้ประเมินกษัตริย์องค์อื่นๆ"
โปรดจำไว้ว่า เราไม่ได้กำลังพูดถึงใจที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ แต่หมายถึงใจที่ซื่อตรงต่อพระเจ้า ดาวิดไม่ได้สมบูรณ์แบบทางศีลธรรมเสมอไป ดังที่คุณทราบว่า ท่านได้ทำผิดประเวณี แม้ว่าพระคัมภีร์จะไม่ได้ยอมรับการผิดประเวณีก็ตาม แต่ในที่นี้ไม่ได้กล่าวถึงความสมบูรณ์แบบทางศีลธรรม หากแต่กำลังกล่าวถึงท่าทีของดาวิดที่มีต่อพระเจ้า
ในอพยพ 20:1-3 (ฉบับมาตรฐาน) เราพบข้อกำหนดประการแรกสำหรับการมีใจที่ซื่อตรงต่อพระเจ้า คือ “และพระเจ้าตรัสพระวจนะทั้งหมดเหล่านี้ว่า ‘เรา คือ ยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ คือ จากแดนทาส ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา’” การเป็นผู้ที่ซื่อตรงต่อพระเจ้า หมายความว่า บุคคลนั้นไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์ ประเด็นที่แท้จริงสำหรับดาวิดและสำหรับเรา คือ “พระเจ้าของคุณคือใคร?”
คำถามพื้นฐานเดียวกันนี้ที่ว่า “พระเจ้าของคุณคือใคร?” ได้ถูกนำเสนอต่อหน้าอิสราเอลอีกครั้งโดยโมเสสในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญา คำตอบของพวกเขาต่อคำถามนี้เป็นตัวกำหนดอนาคตหรือจุดหมายปลายทางชีวิตของพวกเขา ต่อมาเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาเหนืออิสราเอลในการถวายบูชาของเอลียาห์บนภูเขาคารเมล สิ่งที่พวกเขาทั้งหมดต้องพูดคือ “พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” (1 พงศ์กษัตริย์ 18:39 ฉบับมาตรฐาน) เมื่อคุณสามารถพูดเช่นนั้นได้ แม้คุณอาจมีปัญหา ทำผิดพลาด หรือกระทั่งทำบาป แต่คุณจะประสบความสำเร็จในที่สุด
สิ่งนี้นำเรามาถึงจุดของการประเมินตนเองเกี่ยวกับคำถามพื้นฐานนี้ เราต้องถามตัวเองว่า “เรารู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าของเราคือใคร?” ในปฐมกาล 31 ยาโคบพูดกับลาบันว่า “ท่านได้เปลี่ยนค่าจ้างของข้าพเจ้าถึงสิบครั้งแล้ว” แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงปล่อยให้ลาบันประสบความสำเร็จในการทำเช่นนั้น ยาโคบกล่าวต่อไปว่า “ถ้าพระเจ้าของบิดาข้าพเจ้า พระเจ้าของอับราฮัม และผู้ที่อิสอัคยำเกรง มิได้ทรงอยู่กับข้าพเจ้า ท่านคงส่งข้าพเจ้ากลับไปมือเปล่าแล้ว” (ข้อ 42) สังเกตภาษาที่ใช้ว่า “พระเจ้าของอับราฮัม และผู้ที่อิสอัคยำเกรง” ยาโคบใช้คำบรรยายว่า “ผู้ที่อิสอัคยำเกรง” เมื่อกล่าวถึงพระเจ้าของอิสอัค โดยสรุปแล้ว สิ่งใดก็ตามที่คุณเกรงกลัว สิ่งนั้นแหละคือพระเจ้าของคุณ!"
บางคนยกให้โรคมะเร็งเป็นพระเจ้าของพวกเขา พวกเขากลัวโรคมะเร็งมากเสียจน พวกเขากลัวมันมากกว่ากลัวพระเจ้า ในทำนองเดียวกัน ผู้คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์คาถา การทำนาย และไสยศาสตร์ ก็ตกอยู่ภายใต้การผูกมัดด้วยความกลัวอย่างมากต่ออำนาจของซาตานเหล่านี้ จนกระทั่งสิ่งเหล่านี้กลายเป็นพระเจ้าของพวกเขา ผมปรารถนาที่จะไม่กลัวสิ่งใดเลย นอกจากพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ! หากบุคคลหนึ่งยำเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริง นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาจำเป็นต้องกลัวในชีวิตนี้
การนิยามความยำเกรงพระเจ้า
ในการให้คำนิยามถึงความยำเกรงพระเจ้า สิ่งแรกที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ ความกลัวสี่ประเภทที่ไม่ใช่ความยำเกรงพระเจ้า
1. ความกลัวตามธรรมชาติ
ในบางสถานการณ์ การกลัวเป็นเรื่องธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น บุคคลหนึ่งกำลังขับรถไปตามทางหลวง และยางรถของเขาเกิดระเบิด จนรถเสียหลักลงข้างทาง ความรู้สึกกลัวในสถานการณ์เช่นนี้เป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติ นี่ไม่ใช่ความยำเกรงพระเจ้า แต่ก็ไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย อันที่จริงแล้ว ความกลัวประเภทนี้เป็นการปกป้อง ความกลัวและความเจ็บปวดเป็นกลไกสองอย่างที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในมนุษย์เพื่อปกป้องเขา หากคุณเอามือจุ่มลงในน้ำร้อนจัด ความเจ็บปวดที่คุณรู้สึกจะทำให้คุณดึงมือออก หากไม่มีความเจ็บปวด มือของคุณก็จะถูกน้ำร้อนลวก ดังนั้นจึงมีความเจ็บปวดตามธรรมชาติ และมีความกลัวตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นกลไกการปกป้องของพระเจ้า
2. ความกลัวจากวิญญาณชั่ว
2 ทิโมธี 1:7 (ฉบับคิงเจมส์) กล่าวว่า “เพราะว่าพระเจ้ามิได้ประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา” ลักษณะของจิตนั้นได้กล่าวไว้ใน 1 ยอห์น 4:18 ว่า “ความกลัวทำให้ทุกข์ทรมาน” ความกลัวจากวิญญาณชั่วทำให้ทุกข์ทรมาน แต่ความยำเกรงพระเจ้าไม่ได้ทำให้ทุกข์ทรมาน
3. ความกลัวทางศาสนา
ความกลัวชนิดนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สอน อิสยาห์ 29:13 (ฉบับคิงเจมส์) กล่าวว่า “และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เพราะชนชาตินี้เข้ามาใกล้เราด้วยปากของเขา และให้เกียรติเราด้วยริมฝีปากของเขา แต่เขาให้จิตใจของเขาห่างไกลจากเรา เขายำเกรงเราเพียงแต่เหมือนเป็นข้อบังคับของมนุษย์ที่สอนกันมา’" ผมมีความกลัวเช่นนั้นมาเป็นเวลาหลายปี มันเป็นความกลัวประเภทที่พวกเราส่วนใหญ่ที่เติบโตในคริสตจักรคุ้นเคยกันดี มันคือความกลัวที่จะทำสิ่งที่ผิดหลักศาสนา เราถูกฝึกให้เชื่อว่าพฤติกรรมบางอย่างเหมาะสมกับคริสตจักร และบางอย่างไม่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น เป็นเวลาหลายปีที่ผมคิดว่าการไอหรือการพูดเสียงดัง หรือแสดงความตื่นเต้นใดๆ ในคริสตจักรเป็นบาป!
ลักษณะอีกประการงหนึ่งของความกลัวทางศาสนา คือ การพยายามที่จะรักษาสถานภาพเดิมไว้ พระเยซูทรงตำหนิผู้นำศาสนาในสมัยของพระองค์ เพราะพวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่พระเจ้าทรงกำลังทำท่ามกลางพวกเขา พวกเขากลัวการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในพฤติกรรมของพวกเขา
4. ความกลัวมนุษย์
ความกลัวมนุษย์พบได้ในสุภาษิต 29:25 (ฉบับมาตรฐาน) ที่กล่าวว่า “การกลัวคนได้วางบ่วงไว้ แต่คนที่วางใจในพระยาห์เวห์ก็ปลอดภัย” สังเกตความแตกต่าง: หากคุณกลัวมนุษย์ คุณไม่ได้วางใจในพระยาห์เวห์ หากคุณวางใจในพระยาห์เวห์ คุณก็ไม่จำเป็นต้องกลัวมนุษย์ “ความกลัวมนุษย์นำมาซึ่งบ่วงแร้ว”
บ่อยครั้งที่ผู้รับใช้มาหาผมและพูดว่า “อาจารย์ปรินซ์ ผมได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว และผมก็มีของประทานของพระวิญญาณด้วย แต่ทำไมผมถึงยังถูกผูกมัดอยู่?” และผมตอบว่า “บางทีอาจเป็นความกลัวมนุษย์! คุณกลัวสิ่งที่คณะกรรมการของคุณจะพูด; สิ่งที่สภาคริสตจักรของคุณจะคิด; สิ่งที่คณะเพรสไบเทอรีที่คุณสังกัดอยู่จะทำ; สิ่งที่สมาชิกของคุณจะพูด” เปโตรกล่าวว่า “เราจำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์” (กิจการ 5:29 ฉบับมาตรฐาน) ในที่ซึ่งมีทางเลือกที่ชัดเจนระหว่างการเชื่อฟังพระเจ้ากับการเชื่อฟังมนุษย์ การตัดสินใจได้ถูกกำหนดไว้แล้วสำหรับเราในพระวจนะของพระเจ้า เราไม่มีปัญหาใดเลย ในความคิดเห็นของผม อย่างน้อยห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้เชื่อในพระเจ้าในปัจจุบันยังไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง เพราะพวกเขายังคงถูกผูกมัดด้วยความกลัวมนุษย์
เราได้เห็นแล้วว่า ความกลัวตามธรรมชาติ, ความกลัวจากวิญญาณชั่ว, ความกลัวทางศาสนา, และความกลัวมนุษย์ เป็นความกลัวสี่ประเภทที่ไม่ใช่ความยำเกรงพระเจ้า ในจดหมายฉบับต่อไปของผม เราจะพิจารณาว่าความยำเกรงพระเจ้าคืออะไร

*Free download
*This Teaching Letter is available to download, print and share for personal or church use.
ดาวน์โหลด PDFรหัส: TL-L030-100-THA